ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ‘พายุกำลังมา’  แนะยึด Core Portfolio 80% ลุยทั่วโลก

ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ‘พายุกำลังมา’  แนะยึด Core Portfolio 80% ลุยทั่วโลก

ผู้บริหารกองทุนมองตลาดครึ่งปีหลัง ยังมีความเสี่ยงสูง เหมือน 'พายุกำลังมา' ที่ยากจะคาดเดา แนะจัดสรรเงินลงทุน 80% ใน "Core Portfolio" ที่เน้นการกระจายความเสี่ยง คาดว่าหุ้นโลก จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง แต่หุ้นไทยยังมีเสน่ห์จากเงินปันผล ตราสารหนี้ทั้งไทย และต่างประเทศ น่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงระยะยาว

“กรุงเทพธุรกิจ” สรุปข้อเสนอแนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ ผ่านมุมมองของผู้บริหารกองทุน จากงานสัมมนา “Thailand Investment Forum 2025 : Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ” ในหัวข้อ “Growth Stocks In-Depth: Strategies for Success” เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2568 จัดโดย 3 สื่อเศรษฐกิจในเครือเนชั่น ได้แก่ กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ว่า แม้ตลาดหุ้นโลกจะทำจุดสูงสุดใหม่ (All-time high) แต่ยังมีความเปราะบาง และอาจเบาใจมากไปหน่อย กับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ที่ใกล้ครบกำหนด และคาดว่าจะสูงกว่าในอดีต ซึ่งอาจสร้างความผันผวนรุนแรงให้กับตลาดได้

“ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปรียบเทียบสถานการณ์นี้ว่า ‘พายุกำลังมา’ ซึ่งยากจะคาดเดาขนาด และผลกระทบ แต่หน้าที่ของเราคือ การเตรียมฉากทัศน์เพื่อรับมือกับพายุลูกนี้” นายวิน กล่าว

ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ‘พายุกำลังมา’  แนะยึด Core Portfolio 80% ลุยทั่วโลก

ยึด “Core Portfolio” 80% หัวใจฝ่ามรสุม

นายวิน เน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญของการลงทุนในภาวะผันผวนคือ การจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ หรือประมาณ 80% ของพอร์ตทั้งหมดให้เป็น“Core Portfolio” ซึ่งมีหน้าที่หลักในการพยุงพอร์ตให้สามารถผ่านพ้นความผันผวนไปได้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 2 ข้อคือ

กระจายสินทรัพย์ควรมีทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงกระจายทั่วโลกไม่ควรลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป

“ผลงานของกองทุน Core Portfolio ของกสิกรไทยที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ในช่วงที่ตลาดโลกลบไป 20% กองทุนลักษณะนี้กลับติดลบเพียง 2% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดความผันผวนได้เป็นอย่างดี” นายวิน กล่าว

คาดหุ้นโลกโตช้าลง-หุ้นไทยเด่นปันผล

อ้างอิงจากงานวิจัย KASIKORN Capital Market Perspective (KCM) บลจ.กสิกรไทย คาดการณ์ผลตอบแทนในอีก 10 ปีข้างหน้าว่าหุ้นโลกจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงจาก 9.5% ต่อปีในอดีต เหลือ 5.9% ต่อปีในอนาคต เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว ทำให้มี Upside ที่น้อยลง

ในขณะที่หุ้นไทยแม้ในอดีต 10 ปีจะให้ผลตอบแทนติดลบ แต่คาดว่าในอนาคต 10 ปีข้างหน้าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 5% ต่อปีอย่างไรก็ตาม 5% ที่คาดการณ์นั้นมาจาก Growth เพียง 1% และอีก 4% มาจากเงินปันผลซึ่งสะท้อนว่าเสน่ห์ของหุ้นไทยอยู่ที่เงินปันผลมากกว่าการเติบโต

ด้วยเหตุนี้ พอร์ตการลงทุนจึงจำเป็นต้องกระจายไปทั่วโลกเพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโต โดยหุ้นไทยเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผล ซึ่งหุ้นปันผลสูงอย่าง SET HD ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี SET โดยรวม

ชี้เป้า “ตราสารหนี้” น่าสนใจ

สำหรับมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมอง “Neutral” ต่อตลาดหุ้นส่วนใหญ่ แต่ให้น้ำหนัก Overweight เล็กน้อยกับตลาดอินเดีย และจีน

ขณะที่ตราสารหนี้ทั้งของไทย และทั่วโลก ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่งในขณะนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ทำให้แม้จะเผชิญข่าวร้ายแต่ผลตอบแทนยังคงน่าดึงดูด จังหวะนี้ถือว่า not bad ในการเข้าลงทุน

ส่วนทองคำยังคงน่าสนใจในระยะยาวในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ระยะสั้นต้องระมัดระวังเนื่องจากราคาปรับขึ้นมามากแล้ว

นายวินทิ้งท้ายว่า ควรกล้าเข้าลงทุนในวันที่ทุกคนกลัวให้ได้ เพราะการรอให้สถานการณ์คลี่คลาย และชัดเจน มักจะหมายถึงการเข้าลงทุนในวันที่ตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้ว โอกาสที่ดีที่สุดมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงจากความกังวลต่างๆ ซึ่งเป็นจังหวะในการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ดีในราคาที่เหมาะสม

ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ‘พายุกำลังมา’  แนะยึด Core Portfolio 80% ลุยทั่วโลก

นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AlMC) และ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดทุนทั่วโลกประสบความเจ็บปวดมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และยังคงบอบช้ำอยู่ อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าตลาดน่าจะมาถึงจุดที่ใกล้จุดสูงสุดของความเจ็บปวดแล้ว และหลังจากนี้อาจมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหากการเจรจาต่างๆ เช่น การเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐ ประสบความสำเร็จ

แม้ว่าตลาดจะยังคงผันผวน แต่ความผันผวนน่าจะเบาบางลงในอนาคต เพราะปัจจัยต่างๆ ได้ถูกแบไพ่ออกมาหมดแล้ว ทำให้ต้องมีการเจรจาเพื่อเดินหน้าต่อไป ซึ่งคาดว่าภายในเดือนก.ค.นี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น

“ส่วนประเด็นที่ว่าเราผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะตลาดทุนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของนักลงทุนอย่างมาก การมองไปข้างหน้าอย่างน้อย 6 เดือนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจัยที่ครอบงำในวันนี้จะเจือจางลง และอาจมีปัจจัยบวกเกิดขึ้นในอนาคต”

ปรับพอร์ตรับความเสี่ยง

นางชวินดา กล่าวว่า สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ถึง 50-60% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงต่ำสัดส่วนกว่า 50% ในตราสารหนี้ระยะสั้น ให้พักเงินในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อรอจังหวะที่ตลาดเปิดเพื่อทยอยเข้าลงทุนเมื่อมีปัจจัยลบกระทบรวมทั้งการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อย่าละเลยการลงทุนในทองคำ เพราะทองคำสามารถทำหน้าที่เป็นประกันความเสี่ยง (Hedging)ได้ในยามที่หุ้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

ภาษีกระทบหุ้นไทยไม่มาก

นางชวินดา กล่าวว่า ประเทศไทยเราผ่านจุดหุ้นเติบโต (Growth Stock) ไปแล้ว เพราะเราอยู่ในวัฏจักรเติบโตมายาวนานแล้ว และตอนนี้อยู่ในจุดที่ GDP โตแบบค่อยเป็นค่อยไปราว 2-3% และปีนี้ที่ประเมินผลกระทบภาษีแล้วก็น่าจะไม่ถึง 2%

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Play) ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากประเด็นภาษีนำเข้า-ส่งออก (tariff) โดยบริษัทส่งออกที่มีปัญหากับภาษีดังกล่าวมีน้ำหนักไม่ถึง 10% ของตลาดหุ้นไทย

ซึ่งยังมีกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่คมนาคม, ธนาคาร, และภาคบริการเช่น โรงแรม ที่แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลง แต่ประเทศอื่นสามารถทดแทนได้ หรือมีสาขาในต่างประเทศที่สร้างผลตอบแทนได้ นอกจากนี้ บางบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต

ชี้หุ้นไทย หุ้นปันผลสูง

นางชวินดา กล่าวว่า อัตราเงินปันผลสูงเป็นจุดเด่นของหุ้นไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 4.4%ซึ่งสูงกว่าการฝากเงิน และพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีมาก หุ้นดีๆ ในปัจจุบันของไทยหลายตัวจ่ายมากกว่า 4% ด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ การเลือกหุ้นอย่างมีกลยุทธ์ (Stock Picking) เป็นสิ่งสำคัญเลือกหุ้นที่มีความทนทาน และสามารถอยู่กับเราได้นานท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลก และตลาดทุนไทย ซึ่งหากตลาดโดยรวมปรับตัวลง หุ้นเหล่านี้ควรขาดทุนน้อยกว่า SET Index โดยเน้นบริษัทที่สามารถรักษาการเติบโตได้ และจ่ายเงินปันผลได้ดีในอนาคตด้วย

คัดจุดเด่นหุ้นต่างประเทศ

ทั้งนี้ การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรพิจารณาแต่ละประเทศเหมือนหุ้นหนึ่งตัว และดูว่าประเทศนั้นมีจุดเด่นอะไร ได้แก่ สหรัฐมีโดดเด่นในด้านเทคโนโลยีจีนมีประชากรจำนวนมากพร้อมบริโภคภายในประเทศ และเก่งด้านเทคโนโลยี คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อหลุดพ้นจากปัจจัยกดดันภาคอสังหาริมทรัพย์จีนน่าจะไปต่อได้ และควรทยอยเข้าลงทุน ส่วนเวียดนามยังคงน่าลงทุนในภาคการผลิต และอินเดียมีองค์ประกอบครบถ้วนในการเติบโต และพร้อมลงทุน แต่ต้องระมัดระวัง ขณะที่เกาหลีใต้แม้ราคาตลาดโดยรวมจะถูกที่สุดในโลก แต่ส่วนใหญ่พึ่งพาหุ้นใหญ่เพียงตัวเดียว คือ Samsung เพราะฉะนั้นก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

แนะ Thai ESGX ปลุกตลาดทุนไทย

“วิธีการบริหารของผู้จัดการกองทุนคือ เลือกการลงทุนในจังหวะที่คนกลัวสุดขีดซึ่งตลาดหุ้นไทยในวันนี้อยู่ในภาวะกลัวสุดขีด และมีความอึมครึม ซึ่งเราเห็นภาครัฐเข้ามาช่วยในการสนับสนุนประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาเพื่อดึงนักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น”

ซึ่งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และการลงทุนใน Thai ESGX ซึ่งเป็นปีแรกที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น การลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงความยั่งยืน (ESG) ไม่เพียงช่วยตัวเอง แต่ยังช่วยบริษัทจดทะเบียนให้สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้ดีขึ้น และทำให้ต่างประเทศเลือกมาลงทุนในไทยมากขึ้นด้วย การมีส่วนร่วมของนักลงทุนในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดให้เติบโต

“สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ในครึ่งปีหลังจะต้องมีองค์ประกอบครบ 3 ส่วน คือ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งวันนี้รัฐช่วยแล้ว ประชาชนช่วยหรือยัง ต้องคิดให้หนักว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป”

ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ‘พายุกำลังมา’  แนะยึด Core Portfolio 80% ลุยทั่วโลก

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐ จะยังคงแข็งแกร่ง เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานที่สูงกว่าคาด และอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ตลาดยังคงเผชิญความเสี่ยงสำคัญจากปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะการกลับมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์

“เดิมทีปีนี้ถูกมองว่าเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นอเมริกา แต่พอเจอคุณทรัมป์เข้ามา มันทำให้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออเมริกาอาจสูงขึ้น และเมื่อเงินเฟ้อสูง การลดดอกเบี้ยก็ทำไม่ได้เร็วอย่างที่คาด” นายพจน์ กล่าว

ปัจจัยที่สร้างความกังวลมาจากนโยบายของทรัมป์ ทั้งการขยายระยะเวลาลดภาษีคนรวย (Tax Cuts) ที่จะหมดอายุในปีนี้ นโยบายการคลังที่อาจใช้หนี้จำนวนมาก และความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า (Tariff) โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ

หุ้นเทคสหรัฐ ยังน่าสนใจ

แม้จะมีความไม่แน่นอนสูง แต่ นายพจน์ ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ส่วนตัวคิดว่าอเมริกาน่าจะยังดีกว่า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่ง และโดยสถิติแล้วตลาดหุ้นมักจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลังของปีแรกที่ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง

สำหรับโอกาสการลงทุน บลจ.วรรณ ยังคงให้น้ำหนักกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี และ AIโดยเฉพาะกลุ่ม “Magnificent 7” หรือ 7 นางฟ้า แต่ยกเว้น Tesla ที่มีความผันผวนสูงเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของกำไร (Earnings) ที่แข็งแกร่ง และชัดเจน

ชี้เป้า “หุ้นจีน” ราคาถูก

นอกจากตลาดสหรัฐ แล้ว นายพจน์ยังมองว่าตลาดหุ้นจีนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในโลก (ค่า P/E ต่ำ) ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรม Deep Tech และ AI อย่างจริงจัง แม้จะยังมีความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างก็ตาม

ในทางกลับกัน สำหรับตลาดหุ้นไทยนายพจน์ แนะนำว่า “อย่าเพิ่งแตะหุ้นไทยมาก” และควรมีในพอร์ตประมาณ 10% โดยเน้นไปที่หุ้นปันผลสูง (SET HD) เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่ และมีหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) ให้เลือกลงทุนมากกว่า

ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก

เพื่อรับมือกับความผันผวน บลจ.วรรณ แนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะตราสารหนี้ต่างประเทศ (สกุลดอลลาร์)ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนหากเงินบาทอ่อนค่าลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจแบ่งพอร์ตมาที่ตราสารหนี้ถึง 50%

นอกจากนี้สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น Life Settlement Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดรองประกันชีวิตในสหรัฐ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอประมาณ 7-8% ต่อปี และมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นน้อย ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์