ทุนหนุน“เมด อิน เดอะ ยูเอสเอ” กลุ่มไฮเทคนำ-“ยูเออี”แชมป์เม็ดเงิน

ทุนหนุน“เมด อิน เดอะ ยูเอสเอ”   กลุ่มไฮเทคนำ-“ยูเออี”แชมป์เม็ดเงิน

MADE IN THE USA นับเป็นนโยบายเรือธงของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ซึ่งข้อมูล เมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมาระบุว่าความพยายามนี้

 กว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง สร้างงานใหม่ได้มากกว่า 451,000 ตำแหน่ง 

“ขณะนี้ทรัมป์กำลังสร้างรากฐานให้กับความเจริญรุ่งเรืองของอเมริกาในยุคใหม่ ด้วยการฟื้นฟูอุตสาหกรรมของอเมริกา ที่จะเสริมสร้างให้สหรัฐเป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ”  

ข้อมูลล่าสุดจากทำเนียบขาว ระบุว่า MADE IN THE USA: เป็นวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังฟื้นฟูอุตสาหกรรมอเมริกัน

     ล่าสุดเมื่อ 30 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เดินทางไปยังรัฐเพนซิลเวเนียเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างบริษัท U.S. Steel และ Nippon Steel ซึ่งเป็นการลงทุนมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ที่จะสร้างงานอย่างน้อย 70,000 ตำแหน่ง และเป็นหลักประกันความยั่งยืนของการผลิตในอเมริกา

    ข้อตกลงสำคัญนี้เกิดขึ้นพร้อมกับบริษัทต่างๆ จากหลากหลายอุตสาหกรรมที่กำลังย้ายฐานการผลิตและลงทุนไปสู่การผลิตในสหรัฐ ขณะเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์จะยังคงดำเนินนโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก(America First)อย่างไม่ลดละ

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดมาจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี)ประกาศลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐ ในช่วงทศวรรษหน้า ขณะที่กาตาร์ประกาศสร้างมูลค่าการลงทุน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ด้านญี่ปุ่นประกาศลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐ ส่วนซาอุดีอาระเบียประกาศลงทุน 600 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐ ในช่วงสี่ปีข้างหน้า

      หากจำแนกเป็นรายอุตสาหกรรมข้อมูลที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวยังพบว่า กลุ่มยานยนต์มีการลงทุน และประกาศการลงทุนเป็นมูลค่าสูง ได้แก่ Stellantis  เจ้าของแบรนด์ อาบาร์ธ, อัลฟา โรเมโอ, ไครสเลอร์, ดอด์จ, เฟียต, จี๊ป, แลนเซีย, แรม และ มาเซราติ, เปอโยต์, ซีตรอง, ดีเอส, โอเปิล และวอคซ์ฮอลล์ ประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ในเครือข่ายการผลิตในสหรัฐ รวมถึงเปิดโรงงาน Belvidere รัฐอิลลินอยส์ อีกครั้ง และ “ศูนย์กลางการผลิตขนาดใหญ่” มูลค่า 388 ดอลลาร์ในดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน

General Motors ประกาศลงทุน 888 ล้านดอลลาร์ในโรงงานระบบขับเคลื่อนในเมือง Tonawanda รัฐนิวยอร์ก ด้าน Volkswagen กำลังวางแผนที่จะลงทุน “ครั้งใหญ่” ในการผลิตในสหรัฐ Toyota ประกาศจะเพิ่มการผลิตยานยนต์ไฮบริดที่โรงงานในเวสต์เวอร์จิเนีย

Mercedes-Benz ประกาศจะเพิ่มยานยนต์รุ่นใหม่ในโรงงานผลิตที่ทัสคาลูซา รัฐอลาบามา ,Honda วางแผนที่จะย้ายการผลิต Civic จากญี่ปุ่นมาที่สหรัฐ ,Hyundai ประกาศลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการผลิตยานยนต์ในสหรัฐ ,Kia วางแผนที่จะผลิตยานยนต์ไฮบริดที่โรงงานในจอร์เจียซึ่งเป็นโรงงานในเครือของ Hyundai

 ไม่ใช่แค่เพียงอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น ยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ  เช่น กลุ่มเทคโนโลยีอีกมากมายที่เข้าคิวเพื่อลงทุนในอเมริกา  เช่น  Project Stargate ซึ่งนำโดย Softbank จากญี่ปุ่น Open AI และ Oracle จากสหรัฐ ประกาศการลงทุนส่วนตัวมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์โครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ในสหรัฐ

Apple ประกาศการลงทุน 5 แสนล้านในการผลิตและการฝึกอบรมในสหรัฐ ,NVIDIA ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ระดับโลก ประกาศว่าจะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ในสหรัฐช่วงสี่ปีข้างหน้านี้ โดยให้คำมั่นว่าจะผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ทั้งหมดในสหรัฐเป็นครั้งแรก

IBM ประกาศการลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงห้าปีข้างหน้าในการดำเนินงานด้านการเติบโตและการผลิต ,Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ประกาศการลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ผลิตชิป

Global Wafers ซึ่งเป็นผู้ผลิตเวเฟอร์ซิลิคอนของไต้หวัน ประกาศลงทุน 4,000 ล้านดอลลาร์ในการผลิตที่ตั้งอยู่ในสหรัฐ ,บริษัท Thermo Fisher Scientific ประกาศว่าบริษัทจะลงทุนเพิ่มเติมอีก 2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้ เพื่อปรับปรุงและขยายการผลิตในสหรัฐและเสริมสร้างความพยายามด้านนวัตกรรม

ในส่วนธุรกิจอื่นๆ ทั้งภาคการผลิต ยา ชีวภาพ สหรัฐก็เป็นเเหล่งลงทุนที่ทั้งอินเดีย ยุโรป และออสเตรเลีย ต่างตบเท้าเข้าไปลงทุนในสหรัฐ อย่างต่อเนื่องเช่น บริษัท Merck & Co. ประกาศว่าบริษัทจะลงทุนรวม 9 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ หลังจากเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ทันสมัยแห่งใหม่ในเดลาแวร์ ซึ่งจะสร้างงานใหม่ได้อย่างน้อย 500 ตำแหน่ง

        นอกเหนือจากการลงทุนโดยรวมแล้ว บริษัท Amazon ยังประกาศว่าบริษัทจะลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ในเมืองเล็กๆ ทั่วอเมริกา ซึ่งจะสร้างงานใหม่มากกว่า 100,000 ตำแหน่ง และสร้างโอกาสทางธุรกิจทั่วประเทศ

          Kimberly-Clark ประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิตในสหรัฐอเมริกา รวมถึงโรงงานผลิตขั้นสูงแห่งใหม่ในเมืองวาร์เรน รัฐโอไฮโอ การขยายโรงงานที่เกาะบีช รัฐเซาท์แคโรไลนา และการอัปเกรดเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานอื่นๆ

          GE Aerospace ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในการผลิตใน 16 รัฐ ซึ่งจะสร้างงานใหม่ 5,000 ตำแหน่ง

Schneider Electric ประกาศลงทุน 700 ล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า ,บริษัท Siemens ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนีได้ประกาศลงทุน 285 ล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลการผลิตและปัญญาประดิษฐ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสร้างงานด้านการผลิตที่มีทักษะใหม่มากกว่า 900 ตำแหน่ง ,Siemens Healthineers ประกาศลงทุน 150 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิต รวมถึงย้ายฐานการผลิตของบริษัท Varian จากเม็กซิโกไปยังแคลิฟอร์เนีย

        ABB ซึ่งมีฐานอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศลงทุน 120 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแรงดันต่ำในรัฐเทนเนสซีและมิสซิสซิปปี้ Saica Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกจากสเปน ประกาศแผนการสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่มูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในเมืองแอนเดอร์สัน รัฐอินเดียนา

       บริษัท Sygene International ซึ่งตั้งอยู่ในอินเดีย ประกาศซื้อโรงงานผลิตชีวภัณฑ์ในเมืองบัลติมอร์ มูลค่า 36.5 ล้านดอลลาร์บริษัท Asahi Group Holdings ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของญี่ปุ่น ประกาศลงทุน 35 ล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการผลิตที่โรงงานในรัฐวิสคอนซิน

       บริษัท Cyclic Materials ซึ่งเป็นบริษัทรีไซเคิลธาตุหายากขั้นสูงของแคนาดา ประกาศลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานเชิงพาณิชย์แห่งแรกในสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมซา รัฐแอริโซนา ,Guardian Bikes ประกาศลงทุน 19 ล้านเพื่อสร้างโรงงานผลิตโครงจักรยานขนาดใหญ่แห่งแรกในสหรัฐในรัฐอินเดียนา

AMG Critical Minerals ซึ่งตั้งอยู่ในอัมสเตอร์ดัม ประกาศลงทุน 15 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างโรงงานผลิตโครเมียมใน

เพนซิลเวเนีย ,NOVONIX Limited บริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ตั้งอยู่ในออสเตรเลีย ประกาศลงทุน 4.6 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานผลิตกราไฟต์สังเคราะห์ในรัฐเทนเนสซี

ในส่วนประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักผู้แทนการค้าไทยระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีการลงทุนและการจ้างงานในสหรัฐ มากที่สุด โดยมีมูลค่ารวมกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ และสร้างการจ้างงานไม่น้อยกว่า 15,000 ตำแหน่ง สะท้อนถึงบทบาทของไทยในฐานะพันธมิตรด้านเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ

ทุนหนุน“เมด อิน เดอะ ยูเอสเอ”   กลุ่มไฮเทคนำ-“ยูเออี”แชมป์เม็ดเงิน