‘คลัง’ เดินหน้า 2 มาตรการอุ้มเกษตรกร แก้หนี้เรื้อรัง-ตั้งกองทุนวิจัย

‘คลัง’ เดินหน้า 2 มาตรการอุ้มเกษตรกร แก้หนี้เรื้อรัง-ตั้งกองทุนวิจัย

“จุลพันธ์” เผยเตรียม 2 โครงการ ช่วยเกษตรกรผ่าน “ธ.ก.ส.” เล็งแก้หนี้เรื้อรังเล็งช่วยกลุ่มสูงวัยเลิกทำเกษตรแล้ว พร้อมตั้งกองทุนวิจัย หนุนพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มผลิตภาพ เตรียมเสนอเข้าครม.เร็วๆ นี้

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. อยู่ระหว่างเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยเฉพาะที่เป็น ลูกหนี้ กลุ่มเปราะบาง 2 โครงการสำคัญ ได้แก่

1.มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรเรื้อรัง

2.การจัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยภาคการเกษตร 

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มาตรการแรกการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรเรื้อรัง กำลังดำเนินการอย่างจริงจัง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำการเกษตรแล้ว ให้สามารถหลุดพ้นจากภาระหนี้สิน เพื่อให้สามารถส่งมอบสินทรัพย์ให้ลูกหลานนำไปใช้ประโยชน์และประกอบอาชีพต่อไปได้  

ขณะนี้กำลังมีการพิจารณาเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาการขาดวินัยทางการเงินและไม่ก่อให้เกิดภาวะอันตรายทางศีลธรรม (Moral Hazard)  

โดยวงเงินหนี้ของ กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ไม่ทำเกษตรซึ่ง ธ.ก.ส. ตั้งเป้าจะเข้าช่วยเหลือมีมูลค่าประมาณหลักพันล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นหนี้เรื้อรังอยู่จำนวนมาก 

"ธ.ก.ส. มีความพร้อมในการเข้าช่วยเหลือกลุ่มนี้ เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้เสียไว้เต็ม 100% แล้ว และการดำเนินการในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับหนี้ประเภทอื่นของธนาคารรัฐในอดีต รวมถึงการแก้หนี้ในช่วงโควิด-19"  

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวจะต้องพิจารณาข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจใช้ มาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เป็นฐานในการดำเนินการ โดยปัจจุบันมีกรอบวงเงินที่เพียงพอเนื่องจากรัฐบาลชุดนี้รักษาวินัยทางการเงิน 

สำหรับมาตรการที่สอง การจัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยภาคการเกษตร เป็นข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีให้ ธ.ก.ส. พิจารณาหาช่องทางจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนงานวิจัยที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกร  

"โจทย์นี้เป็นสิ่งสำคัญในการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร และเสริมสร้างเทคนิคและองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร และคาดว่าโครงการนี้จะเป็นรูปเป็นร่างได้ในต้นเดือน ก.ค. 2568 นี้ โดยขนาดของเงินทุนวิจัยจะไม่ใหญ่มากนัก อยู่ที่ประมาณหลักร้อยล้านบาท“ 

ทั้งนี้ เนื่องจาก ธ.ก.ส. ไม่ใช่หน่วยงานหลักด้านการวิจัย แต่จะมีการตีกรอบให้เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรโดยตรง เพื่อสนับสนุนการพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคเกษตรไทย