WHA ปักธงโตสวนกระแสลุย EV-Data Center เต็มสูบ กางแผน 5 ธุรกิจรับเมกะเทรนด์

WHA ย้ำกลยุทธ์ "ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน" ปักธงโตสวนกระแสลุย "EV-Data Center" เต็มสูบกางแผน 5 ธุรกิจรับเมกะเทรนด์โลก
กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และ โพสต์ทูเดย์ สื่อเศรษฐกิจและการลงทุน ในเครือเนชั่น ร่วมกันเปิดเวที Thailand Investment Forum 2025: พลิกเกมฝ่าวิกฤติ Great Depression เพื่อถ่ายทอดทิศทางเศรษฐกิจ แนวโน้มการลงทุน รวมถึงวิเคราะห์เจาะลึกการลงทุนทั้งในตลาดทุน และการลงทุนทางเลือก ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากปัจจัยรอบด้าน เจาะลึกยุทธศาสตร์ พลิกมุมมอง
นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ "Global Footprint, Economic New Growth" ว่า จากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบรุนแรงพอสมควร โดยภายหลังมีการชะลอการเรียกเก็บภาษี 90 วัน ทำให้เห็นว่า มีความแน่นอนอย่างหนึ่งว่า "ความไม่แน่นอนสูงมาก"
ในขณะเดียวกันเรื่องเทคโนโลยี Climate Change หรือ คงามยั่งยืนมีความแน่นอนสูงว่าเทรนด์ต้องมาแน่นอน ดังนั้น การลงทุนจะต้องวางแผนตามเมกะเทรนด์เป็นหลัก โดย WHA ดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่มอุตสาหกรรม 1. ธุรกิจโลจิสติกส์ 2. ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 3. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 4. ธุรกิจดิจิทัล และ 5. ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) ซึ่งทั้ง 5 ธุรกิจ มีทั้งรายได้ที่เกิดประจำและรายได้ที่มาจากการขาย
"รายได้การขายฝั่งนิคมฯ มีความชัดเจนที่สุด 3 ปี ที่หลังยอดขายมาเพิ่มขึ้นมาก ล่าสุดเป็นการดึงลงทุนด้าน ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Data Center อีกทั้งฝั่งโลจิสติกส์ที่มีอาคารให้เช่าจะเป็นรายได้ประจำเกิดขึ้น ดังนั้นเราพยายามบาลานซ์รายได้ประจำและการขายให้มีสัดส่วน 50:50"
ทั้งนี้ ภายหลังจากเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา หลังนโยบายสหรัฐฯ demand เกิดปัญหาการส่งออกช่วงแรกหรือช่วงที่เร่งส่งออกมาก ในท่าเรือแหลมฉบัง Traffic ติด ต้องเร่งนำเข้าและส่งออก การเติบโตยังมีอยู่ บริษัทฯ จึงเร่ง Project ที่จะปิดอาคารหลังสุดท้ายภายในปีนี้ และยังมี Project ที่ 2 สร้างได้ 3 แสนตารางเมตร จะเริ่มในครึ่งปีหลังนี้ จึงถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตตลอดเวลา
ส่วนธุรกิจในเวียดนาม มีการขยาย Project ร่วมกับ Partner ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในฮานอย และอีกจังหวัดอยู่ระหว่างศึกษาจะเพื่อเปิดอุตสาหกรรม
"ตัวพระเอกฝั่งนิคมฯ จากคำถามของลูกค้าเกี่ยวกับผลกระทบนโยบายภาษีสหกรัฐที่ใกล้ครบกำหนด 90 วัน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) นั้น พบว่าการลงทุนในไทยมีการเติบโตที่ดี ปีนี้ในไตรมาส 1 มีการ MOU ยอดขายใหม่เยอะรวมถึงที่รอ MOU และยังรอโอนที่ดินอีกเยอะ"
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่วันนี้โครงการ Data Center ยังแข็งแรงขนาด 1,000 ไร่ โดยไตรมาส 1 สามารถปิดการลงทุนแล้ว 550 ไร่ และอีก 450 ไร่ รอโอน และอนาคตยังมีลูกค้าที่อยู่นระหว่างหารืออีกกว่า 20 ราย ต้องการพื้นที่ตั้งแต่ 50-100 ไร่ โดยเฉพาะลูกค้าจีน ที่เชื่อว่าเป็นเกณฑ์ยาวเพราะเมืองไทยไม่แพงกว่าจีน ดังนั้น ช่วงนี้ยังเห็นการเติบโตที่จะเข้ามา
"ปีที่แล้วเราซื้อที่เกือบ 4,000 ไร่ วันนี้เริ่มก่อสร้างแล้วลูกค้าเริ่มปักธงพื้นที่ โดยเฟส 2 จองแล้ว 780 ไร่ ในอนาคตจะมีต่อเนื่องเรื่อยๆ อีกทั้งลูกค้าเร่งเข้าพื้นที่มาก ดังนั้น เราจะต้องรีบขยาย"
ในภาพใหญ่เรายังมองไทยกับเวียดนามเติบโตร่วมกันได้ เป็น product ที่ค่อนข้างมีความแตกต่างของจุดขาย โดยเฉพาะกับบริษัทที่เป็นลูกค้าต้องใช้แรงงานเยอะเวียดนามยังมีข้อได้เปรียบเพราะประชากรยังไม่เข้าใกล้สังคมผู้สูงวัย ส่วนไทยได้เปรียบเรื่องของการสนับสนุนจากนโยบาย
สำหรับลูกค้า Data Center ใช้น้ำมากกว่าโควต้าที่ให้ประมาณ 15 เท่า หากเทียบเท่า 1 โรงงานของ Data Center ประมาณโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งค่อนข้างใหญ่ แปลว่าอนาคตข้างหน้าเมื่อสร้างนิคมฯ เสร็จ 1,000 ไร่ วอลลุ่มและรายได้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ ปัจจุบันมีพลังงานหมุนเวียน 450 เมกะวัตต์ ประมาณ 45% ของ portfolio หากย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้วมีน้อยกว่า 5% ถือเป็นสิ่งที่บริษัทฯ มองเห็นเทรนด์ว่าจะต้องไป จึงตั้งเป้าอีก 5 ปีสัดส่วนจะไปถึง 75% ส่วนธุรกิจดิจิทัล ถือเป็นหลังบ้านเพื่อให็ธุกิจนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI จะช่วยลูกค้าในส่วนไหนบ้าง
ในขณะที่ ธุรกิจโมบิลิตี้ ซึ่งเป็นน้องใหม่ ของย้ำว่าเราไม่ได้ทำและไม่ได้ผลิตรถเอง แต่จะสร้าง EV EcoSystem สำหรับ Commercial EV ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ไปถึงหัวลาก ดังนั้น การ Operate ครั้งนี้จะต้องมีการ Compact มากกว่าจึงต้องสร้าง EcoSystem ทั้งระบบร่วมกับระบบซอฟต์แวร์ ซึ่ง EV ไปถึงจุดคุ้มทุนแล้วเมื่อเทียบกับ ICE เพราะค่าใช้จ่าย Operator ต่อเดือนใกล้เดิม หลายบริษัทมีนโยบายที่จะพยายามเริ่มใช้ EV เพื่อลดคาร์บอน
"วันนั้นอีกเรื่องสำคัญคือน้ำ ที่นอกจากการบริหารจัดการที่ดีเพื่อเรียกอุตสาหกรรมเข้ามา เราในฐานะเป็น Operator ของนิคมฯ จึงพยายามที่จะรีไซเคิลน้ำให้ได้มากที่สุด โดยเอาน้ำที่ใช้แล้วกลับมาผ่านกระบวนการเพื่อจะกลับมาใช้ในอุตสาหกรรมมากขึ้น เกิดการพึ่งพาแหล่งน้ำจากธรรมชาติน้อยลง ควบคู่กับการบริหารจัดการภาครัฐที่ดีขึ้น"







