'พิชัย' ปลุกเชื่อมั่นตลาดหุ้น เล็งดึงทุนนอกจดทะเบียนในไทยเพิ่ม

'พิชัย' ปลุกเชื่อมั่นตลาดหุ้น เล็งดึงทุนนอกจดทะเบียนในไทยเพิ่ม

“พิชัย” ปลุกเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น เล็งดึงบริษัทใหญ่ประเทศที่มาลงทุนในไทยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเพิ่ม เร่งเดินเครื่อง 4 เรื่องสำคัญ สร้างโมเมนตัมเชิงบวก

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “มาตรการการคลังฟื้นเศรษฐกิจ ปลุกเชื่อมั่นตลาดทุน” ในงานสัมมนาThailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤตจัดโดย “เครือเนชั่น” วันนี้ (7 มิ.ย.) ว่าการเติบโต และความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญคือการลงทุนซึ่งหากดูข้อมูลเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 30 – 40  ปีที่ผ่านมาขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาทแต่การลงทุนของไทยในขณะนั้นอยู่ที่ 40% ของ GDP ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึงปีละ  6 – 10 % ทำให้มีการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูง  เกิดการจ้างงาน การบริโภคเติบโตดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นเติบโตด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยเราไม่ได้เติบโตเหมือนเดิม ส่วนสำคัญมาจากการลงทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับขนาดของ GDP โดยเศรษฐกิจในช่วงหลังเราโตเฉลี่ยได้แค่ 2% ขณะที่การลงทุนลดลงเหลือแค่ 20% หากคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนนั้นคิดเป็นปีละ 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น ทำให้ดึง GDP เรามีข้อจำกัดในการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อไปดูข้อประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทยนั้นอยู่ประมาณ 34% หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับตอนนี้การลงทุนของเรายังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่มาก

 

“เป็นความท้าทายของรัฐบาลที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงการลงทุนกลับมาให้ได้เพื่อสร้างโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโต ซึ่งการลงทุนถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งการจ้างงาน การบริโภค ที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เติบโตขึ้นได้”

'พิชัย' ปลุกเชื่อมั่นตลาดหุ้น เล็งดึงทุนนอกจดทะเบียนในไทยเพิ่ม

นายพิชัย กล่าวต่อว่าในการขับเคลื่อนการลงทุนรัฐบาลได้วางแผนในการขับเคลื่อนหลายนโยบายดังนี้

1.การสร้างการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ โดยจากตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนที่มีนักลงทุนมาขอยื่นจอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอตั้งแต่ปี 2566 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 7 แสนล้านบาทในปี 2566 เพิ่มมาเป็น 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2567 ส่วนในปี 2568 ก็มียอดขอบีโอไอในช่วง 4 เดือนแรกแล้วกว่า 4 แสนล้านบาท

โดยตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ดาต้าเซนเตอร์ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รถยนต์ EV ไบโอเทคโนโลยี ซึ่งตอนนี้รัฐบาลได้เข้าไปดูในรายละเอียดในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้นักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศให้มาลงทุน และเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยด้วย

2.การสร้างความโปร่งใสในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งขณะนี้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ออกมาเป็น พ.ร.ก.เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยงานที่กำกับดูแลสามารถติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งกฎหมายได้ให้อำนาจไว้ทั้งการติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษแม้ว่าจะอยู่ในต่างประเทศ  

โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและความน่าเชื่อถือในตลาดทุน อย่างมีนัยสำคัญ เช่น บริษัทหลักทรัพย์มีการขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง (การขายชอร์ต) ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดเนื่องจากใช้วิธีการ การขายหุ้นออกไปโดยที่นักลงทุนรายนั้นไม่ได้ถือหุ้นอยู่จริง (naked short sale)  ซึ่งมีส่วนทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงจากระดับ 1,600 จุดมาอยู่ในระดับปัจจุบัน

3.การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นการต่อยอดจากข้อได้เปรียบเรื่องโลเคชั่นที่เชื่อมโยงการขนส่งทางรางไปถึงจีนและเอเชียเหนือได้ รวมทั้งมีทางออกทะเลทั้ง 2 ฝั่ง โดยรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนด้ายโลจิสติกส์ คมนาคม โดยในส่วนนี้ทั้งการลงทุนจะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณที่มีงบลงทุนอยู่ประมาณปีละ 6 – 7 แสนล้านบาทเท่านั้น

ส่วนโครงสร้างพื้นฐานเรื่องน้ำที่เป็นการลงทุนที่รัฐบาลมีแผนอยู่จะเป็นการลงทุนโดยรัฐบาล โดยได้มีการจำแนกการลงทุนออกเป็นน้ำเพื่อการบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมให้เพียงพอสำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานเรื่องไฟฟ้าต้องสนับสนุนให้เกิดการลงทุนสำหรับไฟฟ้าสีเขียว และอัตราค่าไฟฟ้าต้องเหมาะสม ไม่เกิน 3.5 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องผลักดันให้เอกชนลงทุนเช่นกัน

และ 4.การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และออกกฎหมายที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการลงทุน โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาเรื่องที่ดินของนักลงทุนต่างชาติ โดยอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายการเช่าใช้ที่ดินระยะยาวของต่างชาติ เพื่อให้ต่างชาติที่จะมาลงทุนสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินในระยะยาว โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินยังเป็นของไทย ซึ่งจะสามารถเอื้อให้เกิดการลงทุนของต่างชาติมากขึ้น