ส่องมาตรการ “กรมการค้าภายใน” ดูแลพืชเศรษฐกิจ หลังราคาร่วงยกแผง

พืชเศรษฐกิจไทย “ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน” ราคาร่วงยกแผง กรมการค้าภายในออกมาตรการบริหารจัดการพยุงราคาพืชเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
Key Point
- พืชเศรษฐกิจหลักของไทยประกอบด้วย ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย
- พื้นที่ทำการเกษตรของไทย ใช้ทำนาข้าวมากที่สุด 65.41 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 43.68%
- ปี 68 ราคาสินค้าเกษตรร่วงยกแผง
- กรมการค้าภายในออกมาตรการบริหารจัดการพยุงราคาพืชเกษตรหลัก
“ สินค้าเกษตร ”ถือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของไทย ทั้งการบริโภคและการส่งออก ซึ่งไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ปัจจุบันพื้นที่ทำการเกษตรของไทย ใช้ทำนาข้าวมากที่สุด 65.41 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 43.68% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งประเทศ รองลงมา คือ สวนผลไม้และไม้ยืนต้น (39.38 ล้านไร่) พืชไร่ (30.89 ล้านไร่) สวนผัก ไม้ดอก และไม้ประดับ (1.1 ล้านไร่) และใช้ประโยชน์อื่น ๆ (12.96 ล้านไร่)
พืชเศรษฐกิจหลักของไทยประกอบด้วย ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมากและยังเป็นพืชที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัว อีกทั้งยังเป็น”เครื่องมือหาเสียง”ให้กับนักการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย หากราคาพืชเศรษฐกิจดีรัฐบาลก็บริหารประเทศไปได้โดยไม่มี “ม็อบเกษตร”มากวนใจ แต่หากปีไหนพืชเศรษฐกิจราคาตก รัฐบาลไม่พ้นเจอแรงกดดันจากเกษตรกรให้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยา
สำหรับปี 68 ราคาพืชผลทางการเกษตรร่วงเกือบทุกตัวหากเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ราคาข้าวที่เคยพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงปี 2566
โดยเฉพาะข้าวเจ้าพุ่งขึ้นถึงตันละ12,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี หลังราคาข้าวของคู่แข่งราคาสูงกว่าข้าวไทย อินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวระงับการส่งออกข้าวขาวทำให้ความต้องการข้าวในตลาดโลกสูง แต่ในปีนี้ราคาข้าวไทยกับร่วงลงเหลือ5- 6 พันบาทต่อตัน นอกจากนี้ราคายางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย ก็ร่วงยกแผงเช่นกัน แต่ก็มีบางตัวขยับขึ้นตามสถานการณ์และฤดูกาลของพืชนั้นๆ
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ หนึ่งในหน่วยงานที่ดูแลสินค้าเกษตร ไม่ได้นิ่งนอนใจได้พยายามเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่องทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ล่าสุดกรมการค้าภายใน ได้คลอดมาตรการดูแลสินค้าเกษตรที่สำคัญ อาทิ ข้าวนาปี 68/69 ที่จะเริ่มในเดือน ส.ค.และคาดว่าจะออกสู่ตลาดมากในเดือนพ.ย.68 นั้น กรมเตรียมเสนอมาตรการต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเป็นประธาน โดยจะมีทั้งหมด 4 มาตรการโครงการเช่นเดียวกับทุก รวมถึงงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการทั้งหมด
สำหรับทั้ง 4 มาตรการ ได้แก่ 1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางรอการขายในช่วงที่ผลผลิตออกน้อย จะได้ขายได้ราคาสูง 2.มาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร 3.ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก เพื่อรอการขาย และ4.จัดตลาดนัดข้าวเปลือก รวมถึงจะเสนอให้พิจารณามาตรการลดต้นทุนให้เกษตรกร เช่น ปุ๋ยราคาถูก ฯลฯ ด้วย ทั้งนี้ หาก นบข.เห็นชอบ ก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ส่วนปาล์มน้ำมัน ขณะนี้ปริมาณออกสู่ตลาดแล้ว 8.4 ล้านตัน คิดเป็น 44 % มีมาตรการบริหารจัดการ อาทิ ให้โรงงานสกัดปรับราคารับซื้อไม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อกก. (อัตรา 18 %) ตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ รณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรจำหน่ายผลปาล์มสุก สด เข้มงวดและตรวจสอบไม่ให้ลานเทแยกลูกร่วงผิดธรรมชาติ ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล
ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มขวดทั่วประเทศ นั้น กรมฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่ง 11 ราย เพื่อหารือโครงสร้างต้นทุนการผลิต และแนวทางดูแลราคาจำหน่ายให้เป็นธรรม โดยพบว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มเก่าที่มีต้นทุนสูงได้ทยอยหมดลงแล้ว
ขณะที่ราคาผลปาล์มสดล่าสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 5 – 5.20 บาท ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ผลิตจึงสามารถปรับลดราคาจำหน่ายลงมาได้ โดยยืนยันว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป น้ำมันปาล์มขวดจะมีราคาต่ำกว่า 50 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงเศรษฐกิจปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
สำหรับมันสำปะหลังนั้นขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 24.10 ล้านตัน คิดเป็น 89 % โดยกรมได้ออกมาตรการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคา โดยชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสำปะหลัง สินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค้าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพิ่มช่องทางการตลาดเปิดจุดรับซื้อ 38 จุดใน 9 จังหวัดเป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเบื้องต้นที่กรมการค้าภายในวางไว้เพื่อรองรับผลผลิตที่เกิดขึ้น แต่ในระหว่างนั้นหากมีสถานการณ์อื่นใดแทรกเข้ามาคงต้องมีการพิจารณาช่วยเหลือเฉพาะหน้าต่อไป
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ราคาพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญของไทย ล้วนมีตัวแปรสำคัญทั้งภายใน ภายนอก รวมทั้งการเมืองเข้ามากดดัน ส่งผลให้ราคาพืชเศรษฐกิจของไทยมีความผันผวนตลอดเวลา และยังคงจำเป็นต้องพึ่งพามาตรการของรัฐที่ต้องวางงบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกรในทุกๆปี ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่ายต้องร่วมมือกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการตลาดเพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆปี







