'ดาต้าเซ็นเตอร์' ไทยร้อนแรง เผชิญท้าทาย 'ไฮเปอร์สเกลเลอร์'

ซีเมนส์ เปิดเวที “ดาต้า เซ็นเตอร์ คอนเฟอร์เรนซ์” ชี้เทรนด์ดาต้าเซ็นเตอร์ไทยร้อนแรง สนพ.เผยใช้ไฟพุ่งเท่าตัว เร่งปรับ PDP ป้อนพลังงานสะอาดสูี่ฮับดิจิทัล “วิจัยกรุงศรี” ย้ำยอดขอลงทุนไตรมาส 1 เฉียดแสนล้าน อานิสงส์ AI-5G บี.กริม ชูโซลูชั่นร่วมซีเมนส์ ลดต้นทุนระยะยาว
“ซีเมนส์” ร่วมกับ “กรุงเทพธุรกิจ” จัดงาน “Siemens Data Center Conference 2025 : Redefining Data Center Infrastructure” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเทรนด์การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 โดยมีนายรอส คอนลอน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวต้อนรับงานสัมมนา
นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวในหัวข้อ Empowering Sustainable Data Centre Growth through Thailand's Clean Energy Policy ว่า ความต้องการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญมาก โดยปี 2024 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกใช้ไฟ 415 TWh คิดเป็น 1.5% ของการใช้พลังงานโลก
สำหรับปี 2030 คาดว่าการใช้ดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว 945 TWh คิดเป็น 3% ของการใช้พลังงานทั้งโลก ถือเป็นความต้องการใช้ที่มีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ดำเนินธุรกิจจะต้องมองและเตรียมการ
ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายสร้างธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ให้เป็นธุรกิจอนาคตจากข้อมูลวิจัยกรุงศรีปี 2568-2570 รายได้รวมของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยจะเติบโตระดับสูงเฉลี่ย 7.5-8.5% ต่อปี จากการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเติบโตต่อเนื่องเป็นสัญญาณที่ภาครัฐต้องซัพพลายพลังงานให้เพียงพอ
“อีกส่วนที่ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตได้ เชื่อว่ามาจากมาตรการภาครัฐ เช่น การส่งเสริมลงทุนจาก BOI ที่เป็นมาตรการสำคัญสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่ปัจจุบันมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับธุรกิจทิศทางประเทศมากขึ้น”
ดังนั้น กระทรวงพลังงานและหน่วยงานภาครัฐได้เตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความมั่นใจ จึงได้ปรับแผน PDP โดยเน้น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.ความมั่นคงของพลังงาน 2.การสะท้อนต้นทุนที่ราคาแข่งขันได้ และ 3.ไฟฟ้าที่จัดหามาต้องสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการตั้งเป้าหมายที่เป็นไฮไลต์สำคัญในแผน PDP ฉบับใหม่ออกเป็นดังนี้
1.ด้านความมั่นคง ผ่านเกณฑ์ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation) เพื่อให้ไทยมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลา 2.ด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใหม่ ปี 2580 ไม่น้อยกว่า 50% ลดการปล่อยคาร์บอนในภาคผลิตไฟฟ้า 30-40% เทียบเท่าปีฐาน 3.ด้านราคา ราคาขายปลีกตลอดแผนค่าไฟไม่ให้เกิน 4 บาทต่อหน่วย
4.รองรับการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ย 2.99% ในช่วงปี 2568-2580 และ 5. ส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ โดยกำหนดเป้าหมายในการใช้ ไฮโดรเจน 5% ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป พร้อมกำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR ตามเป้าหมาย 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 รวมถึงพิจารณามาตรการ Demand Response ตามแผน Smart Grid และ Peak Reduction รวม 2,000 เมกะวัตต์
นอกเหนือจากแผน PDP แล้วรัฐบาลยังสนับสนุนการขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ คือ 1.ส่งเสริมนโยบายสมาร์ทกริดของประเทศทั้งระยะกลางและระยะยาวเพื่อจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่ยืดหยุ่น รองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เชื่อมั่นว่าการผลิตไฟฟ้าจาก RE ที่มีปริมาณที่สูงขึ้น การผลิตจะยังมีความมั่นคงมากพอเพียง
2.จัดทำนโยบายการจัดหาไฟสะอาด โดย 3 การไฟฟ้า จากนโยบายนำเอาอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว UGT มาให้บริการ เพื่อที่ผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อไฟสีเขียวจากภาครัฐ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมประกาศราคา UGT2 เพื่อบริการพลังงานสีเขียว 100%
3.Direct PPA โดยเป็นโครงการนำร่องเพื่อเอื้อให้เกิดการยืดหยุ่น ที่ได้กำหนดเป้าหมาย 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างประเมินความปลอดภัย เหล่านี้จะเน้นให้บริการกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหลัก ขับเคลื่อนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ควบคู่ไปกับแผน PDP เพื่อให้พลังงานในปรเทศไทยเกิดความมั่นคง และการจัดหาได้เพียงพอ
ดังนั้น การจะขับเคลื่อนนโยบายให้สำเร็จจะต้องมีองค์ประกอบหลายส่วนควบคู่ โดยภาครัฐต้องกำหนดนโบบายกำกับดูแลให้สอดคล้องความต้องการภาคธุรกิจและผู้ใช้ไฟ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์จะใช้พลังงานสูงเฉลี่ย 100-200 เมกะวัตต์ต่อแห่ง
ชี้ความท้าทาย“ไฮเปอร์สเกลเลอร์”
นายซามีร์ บอร์การ์ รองประธานอาวุโส และหัวหน้าสายธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ประจำภูมิภาคของซีเมนส์ กล่าวว่า หากในอดีตการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยยังเป็นแค่ความคาดหวัง แต่วันนี้คือ “ความจริง” แล้ว โดยจากข้อมูลที่บริษัทวิเคราะห์ พบว่า จำนวนการเสนอราคาและโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
“เดิมทีการเสนอราคาส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 12-20 เมกะวัตต์ แต่ตอนนี้แตะระดับ 100 เมกะวัตต์แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าเราไม่ได้พูดถึงแค่เทรนด์บนกระดาษ แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และมีโอกาสต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5-7 ปีข้างหน้า”
นายซามีร์ ยังชี้ว่า อุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่จากการเติบโตของไฮเปอร์สเกลเลอร์และเอไอ สร้างความซับซ้อนในการดำเนินงาน จึงจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนแนวทางออกแบบ การบริหารให้สอดคล้องกันตั้งแต่เริ่มต้น
ไขความเสี่ยงอัคคีภัยศูนย์ข้อมูล
นายสุวงศ์ รัชวงศ์ Technical Expert -Fire Detection จาก Siemens ASEAN กล่าวว่าผลกระทบจากเพลิงไหม้ใน Data Center ร้ายแรงต่อทรัพย์สินและรายได้ทางธุรกิจหยุดชะงัก แต่ยังรวมถึงชีวิตของพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ด้วยเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ Data Center จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
“มาตรฐานหลักที่ถูกนำมาใช้คือ NFPA (National Fire Protection Association) โดยเฉพาะ NFPA 75 ซึ่งครอบคลุมถึงระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Fire Sprinkler), ระบบตรวจจับควัน และความต้านทานไฟของอุปกรณ์ และ NFPA 76 สำหรับระบบโทรคมนาคม การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อเบี้ยประกันภัย”
ดาต้าเซ็นเตอร์ไทยโตเร็วเกินคาด
นายเสน่ห์ เพียรรัตนกุล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ ทรู ไอดีซี ยอมรับว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความต้องการดาต้าเซนเตอร์ขนาดใหญ่และลูกค้าเอไอเติบโตเร็วจนเกินกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จึงต้องเตรียมการล่วงหน้ามากขึ้น ตั้งแต่ดีไซน์ ก่อสร้าง ไปจนถึง operation management และสิ่งที่ช่วยให้เราทำได้ คือ การมีพันธมิตรที่แข็งแรงในทุกฟังก์ชัน
นายโจดี้ ปีเตอร์เซ ผู้อำนวยการของ WT Partnership สรุปว่า ความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรมในตอนนี้คือ “ต้นทุนต่อเมกะวัตต์ที่สูงขึ้น” จากการที่ต้องออกแบบให้รองรับอนาคต ซึ่งมาพร้อมกับความไม่แน่นอนสูง
“สิ่งที่เราทำได้คือการควบคุมต้นทุนผ่านการตัดสินใจด้านดีไซน์ที่รอบคอบ มีการวางโครงสร้างโครงการที่ดี และใช้เทคนิคการบริหารต้นทุนที่แม่นยำ”
AI-5G หนุนต่างชาติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์
นายรพีภูมิ ลาภมาก นักวิจัยกรุงศรี กล่าวในหัวข้อ Industry Outlook : Data Centre ว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยคน ให้การทำงานราบรื่นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
ทั้งนี้ ไทยมียอดการรับการลงทุนจากต่างชาติสูงขึ้น ปี 2024 มียอดขอรับการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 2.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น Amazon Web Services ลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท, Google ลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท รวมถึง Microsoft แม้จะไม่ระบุเม็ดเงิน โดยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ จีน และสิงคโปร อีกทั้ง แรงส่งยังคงส่งต่อมาถึงปีนี้ โดยต้นปีมีบริษัทย่อยของ TikTok ลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท รวมถึง SIAM AI Cloud ลงทุนกว่า 3.3 พันล้านบาท
“เดือน มี.ค.ปีนี้ มีบริษัทจีนที่สนใจลงทุนอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท รวมถึงการร่วมทุนระหว่างกลุ่ม GULF กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ไตมาส 1ปีนี้ มียอดขอลงทุนสูงถึง 9.4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเติบโต 500% หรือ 5 เท่าเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง BOI ได้เปิดเผยข้อมูลว่าจะมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ 5 แห่ง เม็ดลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านบาท”
สำหรับแนวโน้มระยะข้างหน้า ปี 2025-2027 คาดว่ารายได้อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย จะเติบโต 7.5-8.5% ต่อปี ซึ่งมาจาก 3 ส่วนคือ 1.การเพิ่มขึ้นของการใช้อินเทอร์เน็ตทุกภาคส่วน โดยปี 2024 ไทยมีใช้จ่ายผ่าน E-Payment ที่ 4.9 ล้านล้านบาท เติบโต 10-14% ต่อปี เป็น 8.7 ล้านล้านบาทปี 2030
2.การเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล โดยปี 2025 มีรายได้จากอุตสาหกรรมคลาวด์ในไทย 8 หมื่นล้านบาท จะเติบโต 2 เท่าต่อปี ถือเป็นการเติบโตของทุกภาคส่วนที่มีการใช้คลาวด์มากขึ่นเพราะถูกและปลอดภัย ภาคธุรกิจปรับใช้มากขึ้นมีความยืดหยุนการดำเนินการ ซึ่งภาครัฐผลัดดันใช้มากขึ้น ผ่าน “คลาวด์เฟิร์สโพลิซี” ที่ตั้งเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ดึงเงินลงทุนต่างชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้เดือน ต.ค.ปีนี้
3.การเข้ามาของ AI ที่เพิ่มขึ้นสูง จากรายได้โลก ปี 2024 มีมูลค่า 211 พันล้านดอลลาร์ และจะเติบโตกว่า 8 เท่า เป็น 1620 ล้านดอลลาร์ หรือ เติบโต 19% หากเทียบในไทย 17.8% คือตัวเลขขององค์กรในไทยใช้ AI แม้อาจจะดูไม่เยอะถือว่าโต 15.3% ของปีก่อน
“บี.กริม” ชี้ระบบระบายความร้อนหัวใจหลัก
นายอานนท์ กุลวงษ์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด กล่าวในหัวข้อ “Empowering Data Center Infrastructure with innovative solutions for efficiency, resilience and sustainability” ว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ร่วมมือกับซีเมนส์ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อตอบสนองโซลูชั่นด้านพลังงานให้กับลูกค้า
ดังนั้น ลูกค้าจึงต้องการโซลูชั่นด้านการประหยัดพลังงาน การพัฒนาระบบระบายความร้อนซึ่งเป็นระบบหลักที่ใช้พลังงานเป็นอย่างมากในดาต้าเซ็นเตอร์ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (Power Usage Effectiveness – PUE)
สำหรับค่าไฟฟ้าในประเทศไทย ถือเป็นปัจจัยท้าทายสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ จึงจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะสามารถเข้าถึง ระบบไฟฟ้าสะอาด ได้อย่างไร ซึ่งจำนวนนำร่อง Direct PPA เพียง 2 พันเมกะวัตต์ นั้นไม่เพียงพอต่อการลงทุนหลักแสนล้านบาทอย่างแน่นอน
แม้ว่าค่าไฟฟ้าในไทยจะอยู่กลางๆ เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน (สิงคโปร์และฟิลิปปินส์แพงที่สุด ส่วนไทยอยู่ที่ 4 บาทกว่าต่อหน่วย) ทำให้ไทยยังน่าสนใจในการลงทุน แต่ปัญหาหลักคือ ความยากในการดึงดาต้าเซ็นเตอร์เข้าสู่ระบบไฟฟ้าสะอาด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องบริหารจัดการระบบนี้ให้ดีขึ้น







