มองการพัฒนาของไทยจากหลากแง่มุม | บ้านเขาเมืองเรา

มองการพัฒนาของไทยจากหลากแง่มุม | บ้านเขาเมืองเรา

ผู้เขียนหนังสือ why nations fail อยากให้เราเทียบเกาหลีใต้เพราะอยู่ระดับเดียวกันมาก่อน  เขาชี้ว่าปัจจัยอันหนึ่งคือ การที่กองทัพออกจากการเมือง

แต่ผมอยากพูดอีกปัจจัยคือ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ทุกคนที่โกงจบที่คุกหมด  ถ้าประเทศไทยนายกฯ โกงแล้วติดคุกด้วย เราอาจจะไปถึงจุดนั้น...

คำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งปรากฏในกรุงเทพธุรกิจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและมีผู้นำไปปันในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก คุณอภิสิทธิ์อ้างถึงการโกงได้อย่างปลอดภัยของผู้นำไทย เป็นปัจจัยที่ทำให้เกาหลีใต้ทิ้งไทยไปแบบแทบไม่เห็นฝุ่น

อย่างไรก็ดี คุณอภิสิทธิ์มิได้หยุดแค่นั้น หากพูดต่อไปว่าการขจัดผู้นำขี้โกงได้มิได้หมายความว่าเราจะพัฒนาได้อย่างเกาหลีใต้ จึงใช้คำว่า “อาจ” ในคำพูด มุมมองของคุณอภิสิทธิ์ไม่ผิดแน่นอน 

จริงอยู่ ปัจจัยสำคัญที่สุดที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคือความคดโกงของสมาชิกในสังคมโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำ แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ยาก

ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญศึกษากันมานานและเผยแพร่ข้อสรุปมาก่อนการพิมพ์หนังสือเรื่อง Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty เมื่อปี 2555 ของนักเศรษฐศาสตร์ 2 คนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2567

ตัวอย่างได้แก่ ย้อนไปเมื่อปี 2541 ศาสตราจารย์เดวิด แลนเดส พิมพ์หนังสือชื่อ The Wealth and Poverty of Nations: Why Some are So Rich and Some So Poor และเมื่อปี 2548 ศาสตราจารย์จาเรด ไดอามอนด์พิมพ์หนังสือชื่อ Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed

(ทั้ง 2 เล่มมีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ www.bannareader.com) หนังสือ 3 เล่มนั้นมีกรอบและครอบคลุมต่างกัน จึงได้ข้อสรุปที่คล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้างและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางบ้าง ถูกตำหนิอย่างหนักบ้างจากผู้มีความรอบรู้และสนใจในประเด็น

อย่างไรก็ดี การเปรียบไทยกับเกาหลีใต้ไม่น่าจะพอ ควรจะมองต่อไปถึงสมัยเมอิจิของญี่ปุ่น ซึ่งหนีไทยแบบไม่เห็นฝุ่นไปก่อนแล้วจนถึงจีนในสมัยหลังการใช้ระบบคอมมิวนิสต์ ขอยกตัวอย่างบางประเด็น รายละเอียดของหลายประเด็นมีอยู่ในหนังสือชื่อ “สู่จุดจบ !” ซึ่งเคยถูกห้ามวางจำหน่าย แต่ขณะนี้ดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ดังกล่าวและฟังได้จาก YouTube

ญี่ปุ่นและไทยพัฒนาอยู่ในระดับใกล้กันและไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งในสมัยพวกเขามาล่าอาณานิคม ทั้งพ่อหลวงรัชกาลที่ 5 และจักรพรรดิเมอิจิทรงมองเห็นตรงกันว่า ฝรั่งก้าวหน้ากว่าเราเพราะมีภูมิปัญญาทางวิชาการและเทคโนโลยีเหนือกว่า จึงส่งคนหนุ่มไปเรียนวิชากับฝรั่ง หนุ่มญี่ปุ่นกลับมาช่วยพัฒนาการอุตสาหกรรมเป็นหลัก ส่วนหนุ่มไทยกลับมายึดอำนาจจากพระเจ้าอยู่หัว 

ญี่ปุ่นเน้นการพึ่งตัวเองโดยเฉพาะในด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ตามด้วยเกาหลีใต้และจีนซึ่งหวังพึ่งทั้ง2 อย่างของต่างชาติเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะนี้จึงสามารถส่งทั้งคู่ออกไปยังต่างประเทศได้

ส่วนไทยยังหวังพึ่งต่างชาติ รัฐบาลเกาหลีใต้จากสมัยนายพลปัก จุง ฮี เป็นประธานาธิบดีเน้นการสร้างวินัยและเคารพกติกาที่ดีของชาวเกาหลีใต้ พร้อมกับการทำงานหนักและร่วมกันได้ในแนวของชาวญี่ปุ่น 

ในปัจจุบันนี้ ชาวเกาหลีใต้โดยทั่วไปทำงานร่วมกันได้และทำงานหนักที่สุดในโลก ส่วนรัฐบาลไทยเน้นการหาทางเพิ่มวันหยุดงานให้คนไทยไปหาความสำราญกันอย่างเต็มที่ คนไทยยังทำงานร่วมกันจริงๆ ได้ยาก ทั้งนี้ ดูได้จากการสหกรณ์ซึ่งยังต้วมเตี้ยมและมักถูกซ้ำเติมด้วยการโกงของผู้บริหาร

การสร้างกติกาที่ดีและการเคารพกติกาของคนไทยยังต่ำมาก เริ่มจากกลุ่มผู้นำเองซึ่งมักสร้างกติกาขึ้นมาเพื่อพวกตนมากกว่าเพื่อพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ดูได้จากการเปลี่ยนกติกาสูงสุด หรือรัฐธรรมนูญนับสิบครั้งตั้งแต่ยึดอำนาจจากรัชกาลที่ 7 นอกจากนั้นยังมีประเด็นการไม่เคารพกติกาที่นำมาซึ่งเรื่องเกี่ยวเนื่องกับ “นักโทษชายชั้น 14” ในปัจจุบันอีกด้วย

การมองเมืองไทยในด้านการพัฒนาเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และเหตุปัจจัยที่ทำให้เราพัฒนาได้ช้ากว่าพวกเขามองได้จากอีกหลากแง่มุมบนฐานของหนังสือ 3 เล่มนั้น แต่ทั้งหมดอาจนำมาสรุปได้สั้น ๆ ว่า เราขาดทั้งปัญญาและเจตนาดีที่จะพัฒนาได้เร็วเท่าจีน เกาหลีและญี่ปุ่น