4 กลุ่มทุนใหญ่ สนลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย ปั้นเป็นเบอร์ 3 โลก

4 กลุ่มทุนใหญ่ สนลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย ปั้นเป็นเบอร์ 3 โลก

“จุลพันธ์” เผย 4 นักลงทุนใหญ่ สนลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย ระบุไทยมีศักยภาพสูง ปั้นเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากลาสเวกัส และมาเก๊า พร้อมดันร่างกฎหมายแล้วเสร็จในสมัยสภาฯ ของรัฐบาลปัจจุบัน หนุนไทยสร้างจุดหมายท่องเที่ยวใหม่ยกระดับแข่งขันในภูมิภาค

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานแถลงข่าว “Thailand Entertainment Complex” มหานคร แห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ว่า ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... หรือ โครงการ Entertainment Complex ถูกบรรจุเป็นเรื่องแรกในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะพิจารณาในเดือนก.ค.นี้ เมื่อบรรจุเป็นวาระ 1 และมีการตั้งคณะกรรมาธิการแล้ว ก็จะเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสมัยของรัฐบาลปัจจุบัน หรือภายในปี 2570 แต่ในกรณีที่ร่างกฎหมายไม่แล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ก็จะเท่ากับกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ หากรัฐบาลชุดใหม่ปัดตก

“อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่กังวลว่ากฎหมายจะไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ อีกทั้งเชื่อมั่นว่าจะชี้แจง และทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เห็นต่างได้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี”

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนต่างชาติชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจรีสอร์ตครบวงจรระดับโลกกว่า 4 แห่ง มาขอนัดหมายเข้าพบ โดยมีการพูดคุยแล้ว 2 ราย คือ บริษัท วินน์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด เจ้าของ Wynn Resorts และบริษัท MGM Resorts รวมทั้งเตรียมนัดพบกับผู้ดำเนินธุรกิจอื่นๆ ด้านความบันเทิง อาทิ สนามกีฬา และผู้จัดงานแสดง

“โดยนักลงทุนที่ได้มีการพูดคุยกันแล้ว 2 ราย แสดงความสนใจเป็นอย่างมากที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ทั้งยังประเมินว่าไทยมีศักยภาพที่จะขึ้นเป็น Entertainment Complex ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากลาสเวกัส ในสหรัฐ และมาเก๊า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า”

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แม้จะยังคงมีเสียงสะท้อน และความห่วงใยในหลายมิติ แต่ยืนยันว่าทุกขั้นตอนจะเป็นไปอย่างโปร่งใส มีกฎหมายรองรับครบถ้วน มีข้อมูลสนับสนุน และมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด 

นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมองว่าโครงการนี้จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สำคัญ ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ โครงการ Entertainment Complex ไม่ใช่การพนันออนไลน์ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปเล่นในกาสิโนได้ และยืนยันว่ามันไม่ใช่โครงการแบบ “ฟรีกาสิโน” หรือ “การพนันเสรี” ซึ่งโมเดลที่ไทยจะใช้เป็นการดึงดูดการลงทุนขนาดเมกะโปรเจกต์ระดับแสนล้านบาทขึ้นไป โมเดลเดียวกับสิงคโปร์ และญี่ปุ่น ที่จำกัดจำนวนไลเซนส์ให้น้อยราย และบังคับให้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่พิเศษ (XXL) และมาพร้อมกับมาตรฐานการกำกับดูแลระดับโลก

โดยองค์ประกอบสำคัญของโครงการ จะประกอบไปด้วย 1.Indoor Stadium ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการจัดคอนเสิร์ต และอีเวนต์ระดับโลกได้ตลอดทั้งปี แก้ปัญหาเรื่องเสียง สภาพอากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สนามปัจจุบันไม่รองรับ 2.ศูนย์การแสดงสินค้า และวัฒนธรรมไทย กำหนดให้ 10% ของพื้นที่ต้องจัดแสดงวัฒนธรรมไทย สินค้า OTOP อาหารไทย และการนวดไทย เพื่อให้คนไทยได้แสดงศักยภาพ และสร้างรายได้

3.ศูนย์ประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ รองรับงานแสดงสินค้าระดับโลก และงานเปิดตัวสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 4.โรงแรมหรู และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และเพิ่มโอกาสการใช้จ่าย 5.พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนน้ำที่ล้ำสมัย เพื่อให้เด็ก และเยาวชนไทยได้เข้าถึงประสบการณ์ระดับโลกในราคาที่ย่อมเยา โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ 

6.ที่จอดเรือสำราญ (Cruise/Yacht Terminal) ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง 7.ศูนย์นวัตกรรม และธุรกิจอนาคต เพื่อกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปมากกว่าแค่การท่องเที่ยว

“ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้าง Man-Made Destination ใหม่ๆ ซึ่งทุกประเทศในภูมิภาคนี้ มีเกือบหมดแล้ว ไทยถือว่าเริ่มช้ากว่าเขาเป็น 10 ปี แต่ข้อดีคือ เราได้เรียนรู้จากเขามาแล้วว่าแต่ละโมเดลมีประโยชน์ หรือมีข้อเสียอย่างไรบ้าง”

นอกจากนี้ เมื่อประเมินด้วยศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม โครงสร้างพื้นฐาน และฐานนักท่องเที่ยวกว่า 30 ล้านคน ประเทศไทยจึงมีจุดแข็งที่พร้อมแข่งขัน

โครงการนี้จะดึงดูด เงินลงทุนจากภาคเอกชนเข้ามาในประเทศอย่างน้อย 100,000 ล้านบาท และอาจสูงถึง 300,000 ล้านบาทขึ้นไป คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ในช่วงก่อสร้าง 0.23% และหลังเปิดบริการ 0.2-0.8% รวมถึงสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยว 100,000-200,000 ล้านบาท และ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 22,000 บาท

นอกจากนี้ จะมีการจ้างงานโดยตรงกว่า 9,000-10,000 ตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าสูงกว่านี้มาก หากเทียบกับ Marina Bay Sands เพียงแห่งเดียวที่มีพนักงาน 12,000 คน โดยเน้นการจ้างงานคนไทย การใช้วัสดุก่อสร้าง และสินค้าในประเทศ

ในด้านรายได้เข้ารัฐ โครงการนี้จะสร้างรายได้จากภาษี และค่าธรรมเนียมกว่า 12,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้เหล่านี้จะถูกนำไปสนับสนุนการศึกษา การพัฒนาเยาวชน ด้านดนตรี กีฬา เทคโนโลยี สาธารณสุข โครงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการส่งเสริม CSR และการพัฒนาชุมชนโดยรอบ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์