อคส. ประสานอัยการ อุทธรณ์ต่อ หลังศาลอาญาคดีทุจริตจัดซื้อถุงมือยางยกฟ้อง

อคส.ประสานอัยการยื่นอุทธรณ์คดีทุจริตถุงมือยาง หลังศาลยกฟ้อง “พ.ต.ท.รุ่งโรจน์” และพวกรวม 21 ราย ส่วนคดีแพ่ง อคส.ฟ้องพนักงาน 7 รายชดใช้ 2 พันล้านบาทรวมดอกเบี้ย ศาลตัดสินลดเหลือคนละ 360 ล้านบาท
KEY
POINTS
นายธิรินทร์ ณ ถลาง ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 20 พ.ค.68 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาคดีระหว่างอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องพ.ต.ท.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการ ผู้อำนวยการ อคส. จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 21 คน กรณีอคส.จัดซื้อถุงมือยาง โดยจ่ายเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหา และศาลฯยกฟ้องว่า อคส.ได้ขอคัดคำพิพากษาเพื่อนำกลับมาศึกษาในรายละเอียดแล้ว
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการกฎหมายของอคส.ได้ประชุมในเรื่องนี้ เพื่อหาแนวทางดำเนินการต่อไป และได้ประสานขอให้พนักงานอัยการ ยื่นอุทธรณ์แล้ว
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต อดีตผู้อำนวยการ อคส. ซึ่งเป็นผู้พบเงินของอคส.หายไปจากบัญชีธนาคาร 2,000 บาท และยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า วันแรกที่ทำงานตำแหน่งผู้อำนวยการ อคส. วันที่ 10 ก.ย.63 พบว่าเกิดความเสียหายแก่องค์กรสูงถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อมากว่า เงินสะสมกว่า 10 ปีหายไปอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน และตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่ง ที่ดำรงตำแหน่งได้ติดตามเรียกทรัพย์สินคืนให้ได้มากที่สุด รวมถึงดำเนินการให้ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างตรงไปตรงมาในทุกช่องทางอย่างเต็มกำลัง
“ผลของคดีในเบื้องต้น ย่อมสร้างความกดดันทั้งแก่ผม และคณะทำงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ขอกราบขอบพระคุณท่านอธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตฯที่ให้ความเห็นแย้งไว้ ซึ่งเป็นคุณอนันต์ต่อผมและคณะทำงานให้มีกำลังใจดำเนินตามวิถีทางที่ถูกต้องต่อไป เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการอุทธรณ์ในเวลาที่กำหนด เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะตอนนี้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง คงสับสนว่าการฝ่าฝืนระเบียบ กฎหมาย และข้อบังคับอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น ไม่มีความผิดทางอาญาจริงหรือไม่ และเพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อสังคมต่อไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องพ.ต.ท.รุ่งโรจน์ กับพวกรวม 21 คน เพราะพฤติกรรมการจัดซื้อถุงมือยาง เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานรัฐและประโยชน์สาธาณะ ซึ่งเมื่อวันที่ 20พ.ค.68 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีความเห็นแย้ง และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว
ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว พบว่า การจัดซื้อถุงมือยาง ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออคส. แม้ติดตามเงินกลับคืนมาได้ แต่ยังเหลืออีกกว่า 1,000ล้านบาทที่ไม่สามารถติดตามคืนมาได้ ซึ่งพ.ต.ท.รุ่งโรจน์ เจ้าหน้าที่อคส.ที่ถูกฟ้อง และบริษัทคู่สัญญาบางราย มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายนี้ ส่วนจำเลยที่เหลือ ก็มีบทบาทที่ทำให้อคส.เสียหายลดหลั่นกันลงมา และได้ประโยชน์จากการกระทำผิดลดหลั่นกันไป
ดังนั้น จำเลยแต่ละคนต้องมีความรับผิด หรือโทษในทางอาญาหนักหรือเบาเพียงใด หรือรอลงอาญาหรือไม่ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง หรือขั้นตอนที่ต้องพิจารณาตามสัดส่วน แต่ศาลคดีอาญาฯไม่ควรยกฟ้องจำเลยทุกคน เพราะเกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเกิดจากพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต อันถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีแพ่ง อคส. ได้ฟ้องพนักงานและเจ้าหน้าที่รัฐรวม 7 ราย รวมความเสียหาย 2,000 ล้านบาท และดอกเบี้ยราว 3 ล้านบาท โดยรายที่ 1-4 ฟ้องรายละ 400 ล้านบาท และรายที่ 5-7 รวมกัน 400 ล้านบาท แต่ศาลได้พิพากษาให้รายที่ 3-4ชดใช้คนละ 360 ล้านบาท และรายที่ 5-7 รวมกัน 360 ล้านบาท หรือคนละ 120 ล้านบาท เพราะอคส. ได้รับเงินคืนแล้ว 200 ล้านบาท โดยรายที่ 1 ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ได้โอนคดีไปยังศาลปกครอง ขณะที่รายที่ 2 ซึ่งได้แก่ พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ เป็นบุคคลล้มละลาย







