6 ความท้าทายอนาคต 'การคลัง' เผชิญปัจจัยเสี่ยงรับมือเศรษฐกิจ

6 ความท้าทายอนาคต 'การคลัง' เผชิญปัจจัยเสี่ยงรับมือเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าหลังจากสหรัฐประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น 36% แม้จะมีการผ่อนปรนชั่วคราว 90 วัน ถึงวันที่ 7 ก.ค. 2568

การที่สหรัฐประกาศเพิ่ม การจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย เพิ่มขึ้น 36% แม้จะมีการผ่อนปรนชั่วคราว 90 วัน ถึงวันที่ 7 ก.ค. 2568 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้มีความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ วิกฤติสุขภาพโลก 

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ กระทรวงการคลัง จึงเป็นกลไกหลักที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงให้กับระบบ เศรษฐกิจไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หัวใจหลักของการแก้ปัญหาประเทศและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางการเงินทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีประชาชนมีความมั่งคั่ง จะส่งผ่านมาที่รัฐบาลเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจได้

สำหรับบทบาทของ กระทรวงการคลัง ในการเตรียมความพร้อมประเทศให้มีความพร้อมรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคตมี 6 ปัจจัย ดังนี้ 

1. การส่งเสริมระบบภาษีที่เป็นธรรมและยั่งยืน

กระทรวงการคลังถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการ ปฏิรูประบบภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้รัฐบาลมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่จำเป็น

นอกจากนี้ การออกแบบ ระบบภาษี ที่เป็นธรรมยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาภาษีเงินได้ติดลบ หรือ “NIT” เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการเก็บภาษี ควบคู่ไปกับการปรับปรุงการให้สวัสดิการกับผู้มีรายได้น้อย

2. การบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

การควบคุมระดับ หนี้สาธารณะ ให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของกระทรวงการคลัง ที่ดำเนินการผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงินกรคลังของรัฐ และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) โดยต้องคำนึงถึงดุลยภาพระหว่างการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งการบริหารหนี้สาธารณะที่มีประสิทธิภาพจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและตลาดการเงิน 

ขณะเดียวกันการระดมทุนผ่านตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจระยะยาว เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และสร้างรากฐานมั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต 

สำหรับการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ระดับไม่เกิน 70% ของจีดีพี เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อเสนอของภาคเอกชนที่เสนอให้เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

3. การเสริมสร้างความสามารถและประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ

ขณะที่จากภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น กระทรวงการคลัง ที่มีหน่วยจัดเก็บรายได้และกรมภาษี จำเป็นที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง เช่น เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ การเก็บภาษีจาก เศรษฐกิจดิจิทัล

รวมทั้ง เพื่อให้รัฐมีฐานรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอต่อการใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง จนกระทบรายได้ของรัฐบาลในอนาคต จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และภาษีมากขึ้น 

4. การบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเงิน

กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการการสร้างระบบประกันภัยทางเศรษฐกิจเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการและประชาชนในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน โดยกระทรวงการคลังสามารถกำหนดนโยบายให้กับหน่วยงานในสังกัดคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมการทำประกันภัยของประชาชน 

ทั้งนี้ จะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งอาจกระทบกับสถานะทางการเงินของครัวเรือน หรือกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมได้ ซึ่งการทำประกันภัยจะช่วยลดความเสี่ยง และเป็นการส่งเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจในภาพรวม 

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังมีบทบาทในการสนับสนุนให้มีการตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการออม 

5. สนับสนุนมาตรการในการพัฒนาศักยภาพ เทคโนโลยี และทักษะแรงงาน

การลงทุนระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการเตรียมความพร้อมของแรงงานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล 

รวมทั้งบทบาทนี้ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างงานในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยี AI และ เศรษฐกิจดิจิทัล จะช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว โดยที่ผ่านมามีมาตรการทางภาษีในการ ลดหย่อนภาษี เมื่อมีการอบรมเพิ่มทักษะของแรงงานให้มีทักษะเพิ่มขึ้นก็สามารถยื่นขอลดหย่อนภาษีและหักค่าใช้จ่ายได้ 

6. การกำหนดนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่น

กระทรวงการคลังมีหน้าที่สำคัญในการปรับนโยบาย การคลัง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ การใช้นโยบายการคลังแบบยืดหยุ่น (Flexible Fiscal Policy) จะช่วยให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที

ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงวิกฤติมีหลายมาตรการ เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ การลดภาษี หรือการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคธุรกิจและประชาชน จะช่วยบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน การลดการใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวเกินควร จะช่วยป้องกันภาวะเงินเฟ้อและการเกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจได้

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง เตรียมแผนรองรับกรณีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่แน่นอน โดยจะมีบทบาทจัดหาแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินในรูปแบบพระราชกำหนด หรือกฎหมายพิเศษเพื่อใช้ในยามจำเป็น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสะดุดจากแรงกระแทกโดยไม่จำเป็น โดยในอดีตได้เคยมีการออกกฎหมายเงินกู้โดยให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูวิกฤติ เช่น วิกฤติมหาอุทกภัยปี 2554 และวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563-2564