ยารักษาโรคกำลังจะถูกลงหลัง“สิทธิบัตรยา190ฉบับ”ใกล้หมดอายุ

ยารักษาโรค เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งการเข้าถึงยาทั้งประเด็นการมีสินค้าจำหน่าย และราคาที่หาซื้อได้
เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทุกรัฐบาลต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึง“ยารักษาโรค”ได้
เมื่อ วันที่ 12 พ.ค. 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปรับราคาที่ชาวอเมริกันและผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจะต้องจ่ายค่ายาเท่ากับที่จำหน่ายในประเทศอื่นๆ
“คำสั่งดังกล่าวสั่งให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ ยูเอสทีอาร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะต้องไปดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีพฤติกรรมที่จงใจลดราคายาในตลาดต่างประเทศแต่มาขายยาที่แพงในสหรัฐ”
คำสั่งดังกล่าวสั่งให้ฝ่ายบริหารแจ้งเป้าหมายราคาให้ผู้ผลิตยาทราบ เพื่อยืนยันว่าอเมริกาซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ให้ทุนด้านยารักษาโรครายใหญ่ที่สุดในโลกก็ต้องได้รับข้อตกลงที่ดีที่สุดด้วย
ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์รับคำสั่งและไปจัดตั้งกลไกที่จะทำให้ผู้ป่วยชาวอเมริกันสามารถซื้อยาได้โดยตรงจากผู้ผลิตที่ขายยาให้กับชาวอเมริกันในราคา “ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด” โดยเลี่ยงพ่อค้าคนกลาง ได้แก่1. เสนอกฎเกณฑ์ที่กำหนดราคาตามประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด และ 2.ใช้มาตรการเชิงรุกอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนของยาตามใบสั่งแพทย์สำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันอย่างมีนัยสำคัญ และยุติการปฏิบัติที่กีดกันการแข่งขัน
“ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังดำเนินการอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตยาเรียกเก็บราคายาสูงจากชาวอเมริกัน ในขณะที่ให้ส่วนลดสูงแก่ประเทศที่ร่ำรวยอื่นๆ”
ทั้งนี้มี ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ชาวอเมริกันจ่ายราคายาที่มีชื่อทางการค้านั้นสูงกว่าราคาที่ประเทศ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) อื่นๆ จ่ายถึงสามเท่า แม้ว่าจะรวมส่วนลดที่ผู้ผลิตให้ในสหรัฐแล้วก็ตาม
สหรัฐ มีประชากรน้อยกว่า5%ของประชากรโลก แต่กลับสร้างกำไรให้อุตสาหกรรมยาของโลกประมาณ 75% ผู้ผลิตยาลดราคาสินค้าเพื่อเข้าถึงตลาดต่างประเทศ จากนั้นจึงอุดหนุนส่วนลดเหล่านั้นผ่านราคาสูงที่เรียกเก็บในสหรัฐ เท่ากับว่า ชาวอเมริกันกำลังอุดหนุนกำไรของผู้ผลิตยาและระบบสุขภาพต่างประเทศ ทั้งที่ผู้ผลิตยาจะได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนการวิจัยที่เอื้อเฟื้อและการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพจำนวนมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ดำรงตำแหน่งในวาระแรก ได้มีความพยายามครั้งประวัติศาสตร์ที่จะปกป้องไม่ให้การดูแลทางการแพทย์และผู้สูงอายุต้องจ่ายค่ายาแพงกว่าประเทศที่เทียบเคียงทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนได้ยกเลิกความพยายามดังกล่าวไปก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของไบเดนได้มุ่งไปที่การเจรจาต่อรองราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 78% เมื่อเทียบกับ 11 ประเทศที่เทียบเคียงได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของไบเดนที่ได้ให้สัญญาไว้กับประชาชนชาวอเมริกันผ่านหลักการผู้ป่วยชาวอเมริกันต้องมาก่อน ขณะที่รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้เร่งความพยายาม ลดความเหลื่อมล้ำด้านราคายาในประเทศกับต่างประเทศ และมีแผนจะขยายความพยายามไปสู่ Medicaid เข้ากับ Medicare
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อไม่นานนี้เพื่อดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อลดราคาขายยา รวมถึงการมอบส่วนลดมหาศาลให้กับผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยสำหรับยาพื้นฐานผ่านการอำนวยความสะดวกการนำเข้าและสร้างกลเพื่อส่งเสริมความพร้อมการเข้าถึงยาสามัญด้วย
“ในหลายๆ กรณี พลเมืองของเราต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมากสำหรับยาเม็ดแบบเดียวกัน จากโรงงานเดียวกัน ซึ่งเท่ากับเป็นการอุดหนุนสังคมนิยมในต่างแดนที่ราคาพุ่งสูงในประเทศ ดังนั้น เราจึงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดหายาราคาถูกให้กับประเทศอื่น และเมื่อฉันบอกว่าราคาแตกต่างกัน คุณจะเห็นตัวอย่างบางส่วนที่ราคาสูงเกินกว่าจะรับไหว สี่หรือห้าเท่า”
ไม่เพียงคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะส่งผลต่อราคายารักษาโรคในตลาดสหรัฐและตลาดโลกเท่านั้น แต่ปัจจัยที่กำลังเขย่าโครงสร้างราคาและธุรกิจยาคือ “สิทธิบัตร”
ข้อมูลจากเวบไซด์ Drug Diacovery & Development ระบุว่า บริษัทผลิตยา 50 แห่งที่ใหญ่ที่สุดมีมูลค่าตลาดรวมกัน 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ บริษัทเภสัชกรรมของสหรัฐ คือ Eli Lilly ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เป็นที่รู้จักในด้านยารักษาโรคเบาหวานและยาลดน้ำหนักที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม พบว่า ราคาเฉลี่ยของอินซูลินในสหรัฐมีราคาสูงกว่าประเทศอื่นๆ มากกว่า 5 เท่า
รายได้ของบริษัทเภสัชกรรมขนาดใหญ่ทั่วโลกเติบโตขึ้นมากกว่าครึ่งล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2012 นั่นเป็นเพราะปัจจัยประชากรโลกที่อายุมากขึ้น และแม้ว่าบริษัทผลิตยาของอเมริกาครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในโลกเพราะราคายาที่สูงในตลาดที่มีกลไกการควบคุมน้อยกว่า แต่บริษัทยาเหล่านี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ นั่นคือ “สิทธิบัตรยา 190 ฉบับ” จะหมดอายุในทศวรรษหน้า ทำให้บริษัทหลายแห่งต้องเผชิญกับการสูญเสียรายได้มหาศาลจากบริษัทคู่แข่งที่ผลิตยาสามัญ
ข้อมูลจากเวบไซด์ DrugPatentWatch ระบุว่า เมื่อสิทธิบัตรยาหมดอายุลง สิทธิบัตรดังกล่าวจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่ส่งผลต่อตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบการดูแลสุขภาพ ผลกำไรของบริษัทยา และการเข้าถึงยาของผู้ป่วย
การหมดอายุของสิทธิบัตรถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งในวงจรชีวิตทางการค้าของยา โดยทำให้ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงพิเศษกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง การวิเคราะห์เชิงลึกนี้จะตรวจสอบผลกระทบหลายแง่มุมของการหมดอายุของสิทธิบัตรยา ตั้งแต่การลดราคาอย่างมากที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการดูแลสุขภาพ ไปจนถึงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนที่บริษัทยาใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายเหล่านี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในปี 2025 Merck & Co. ยังคงเป็น “เจ้าพ่อ” ในอุตสาหกรรมยา โดยมีรายได้ประมาณ 64,170 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 ซึ่งเคยครองตำแหน่งสูงสุดเมื่อปีก่อน ส่วนPfizer ยังคงอยู่ในอันดับที่สอง แม้ว่าความต้องการจาก COVID-19 จะลดฮวบลงจนทำให้บริษัทขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในปีงบประมาณ 2022 ด้วยรายได้มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ แต่ Pfizer ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับสองไว้ได้ในปีงบประมาณ 2024 ด้วยรายได้ 63,630 ล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2024






