‘กรณ์’ แนะถอดบทเรียนญี่ปุ่น-ชูบทบาท ผู้นำดีพาพ้นวิกฤติ

‘กรณ์’ แนะถอดบทเรียนญี่ปุ่น-ชูบทบาท ผู้นำดีพาพ้นวิกฤติ

“กรณ์” ชี้เศรษฐกิจไทยยังคงมีโอกาสพลิกฟื้นหากมีนโยบายที่ดี ผู้นำมีวิศัยทัศน์ แนะดูแลตัวเองในระดับจุลภาครอและการเปลี่ยนแปลง

กระแสสังคมตั้งคำถามว่า รัฐไทยล้มเหลวหรือไม่? หรือเป็นประเทศที่โตไม่ถึงศักยภาพตามนิยามในหนังสือ “Why Nations Fail” ของผู้เขียนรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2024 

กรุงเทพธุรกิจ” สรุปประเด็นที่น่าสนใจภายในงานเสวนาหัวข้อ “Why Nations Fail บทเรียนที่ประเทศไทยต้องไม่ล้มเหลว“ จัดโดย กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันที่ 31 พ.ค.2568

นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาอยู่มาก แต่ก็ยังคงมีโอกาสรออยู่ข้างหน้า โดยให้คะแนนสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ที่ 4 จากสเกล 0 ถึง 10 ซึ่ง 0 หมายถึงประเทศที่ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าอย่างดีเยี่ยม และ 10 หมายถึงประเทศที่มีความเสี่ยงสูงมากและล้มเหลวในการพัฒนา

นายกรณ์ กล่าวถึง หนังสือ "Breakout Nation" ซึ่งวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของประเทศต่างๆ ซึ่งไม่เชื่อว่าประวัติศาสตร์จะเป็นตัวกำหนดอนาคตที่ตายตัว โดยมองว่าวัฏจักรธุรกิจในปัจจุบันสั้นมากไม่เกิน 5 ปี ทำให้การคาดการณ์ระยะยาวเกิน 10 ปีเป็นเรื่องยาก 

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอย่างภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงผู้นำ สามารถส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วภายในทศวรรษ

“แม้การเทียบความสำเร็จของไทยในอดีตกับเพื่อนบ้านอาจไม่สอดคล้องกับตรรกะของหนังสือทั้งหมด แต่ตราบใดที่ไทยยังมีพื้นฐานที่ดี ด้วยนโยบายที่ดี การกำหนดเส้นทางการเดินตามภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ไทยก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตและเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จได้ใน 10 ปีข้างหน้า" 

นายกรณ์ กล่าวว่า ในอดีตการตัดสินใจหลายเรื่องสำคัญทำให้ไทยเติบโตได้ เช่น การเลือกอยู่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น และการดำเนินนโยบายทุนนิยมภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวมถึงการเปิดน่านฟ้าเสรี สัมปทานโทรคมนาคม และการให้เอกชนผลิตไฟฟ้า ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยโดดเด่นและเติบโตทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ชี้ว่าปัญหาหลักในปัจจุบันที่ชัดเจนคือภาวะที่ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เศรษฐกิจและ GDP ไม่เติบโต ประกอบกับปัญหาหนี้สิน และโครงสร้างสังคมสูงอายุ ซึ่งคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของญี่ปุ่นหลังฟองสบู่แตก

”ไทยสามารถเรียนรู้จากนโยบาย ลูกศร 3 ดอก องอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วยการผ่อนคลายทางการเงิน การกระตุ้นทางการคลัง และที่สำคัญที่สุดคือ การปฏิรูปภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายและตลาดหุ้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ”

นายกรณ์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ไทยยังขาดคือ "ผู้นำ" ผมกล้าพูดว่าหากไม่มีนายอาเบะ นโยบายที่ท้าทายในญี่ปุ่นอาจไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น แม้แนวทางการฟื้นฟูจะมีอยู่ แต่จำเป็นต้องอาศัยผู้นำที่เข้มแข็งและกล้าตัดสินใจ โดยในระหว่างที่รอสถานการณ์ "สุกงอม" หรือรอผู้นำที่เหมาะสม ให้ทุกคน ดูแลตัวเองให้ดีในระดับจุลภาค หรือ หมายถึงการดูแลตนเองและสังคมใกล้ตัวให้ดีที่สุด 

"อย่าจำนนต่อปัญหา ควรทำตัวเองให้ดีที่สุด และเปิดใจให้กว้างและแสดงออกเมื่อมีโอกาส เพื่อร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงในภาพรวม" 

ยกตัวอย่างกรณีชาวอินเดียที่ออกไปทำงานในซิลิกอน วัลเลย์ และกลับมาพัฒนาบ้านเกิด หรือชาวฟิลิปปินส์ที่ออกไปทำงานในต่างประเทศแต่ส่งเงินกลับประเทศ

สำหรับการปฏิรูปในระดับมหภาคเมื่อมีผู้นำที่พร้อม เชื่อว่าหลายคนทราบดีว่าต้องทำอะไรบ้าง เช่น การปฏิรูประบบราชการ ซึ่งเทคโนโลยีสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญได้  อาทิ แอปพลิเคชัน "Traffy Fondue" (ทราฟฟี่ฟองดูว์) ของ กทม. ที่ทำงานได้ผลดีเนื่องจากมี digital footprint มีความโปร่งใส และการตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ 

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีผู้บริหารที่จริงจังและพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง