‘สารัชถ์’ วางเป้า 5 ปี GULF ลุยเทค-นวัตกรรม ยัน ‘ซื้อ-ขาย’ หุ้น KBANK เพื่อลงทุน

‘สารัชถ์’ วางเป้า 5 ปี GULF ลุยเทค-นวัตกรรม ยัน ‘ซื้อ-ขาย’ หุ้น KBANK เพื่อลงทุน

'สารัชถ์' แนะปรับตัวรับเศรษฐกิจผันผวน ยันสภาพคล่องดี ลงทุน KBANK คือจังหวะ ไม่สนตลาดหุ้นใหม่! แนะแก้สภาพคล่องปลุกนักลงทุน

KEY

POINTS

  • GULF มีการปรับแผนธุรกิจตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา โดยมีสภาพคล่องเพียงพอ และบริหารการเงินอย่างระมัดระวัง อาจมีการขยายหรือชะลอการลงทุนตามสถานการณ์
  • บริษัทฯ ดำเนินงานตามเป้าหมาย สร้างรายได้และการเติบโตที่ดี และจะเดินหน้าธุรกิจเหล่านี้ต่อไป ไม่มีแผนเปลี่ยนธุรกิจหลัก ซึ่งยังไม่มีแผนซื้อธุรกิจเพิ่มเติม แต่พร้อมลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะนวัตกรรม 
  • KBANK ถือเป็นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการหรือเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจธนาคาร ดูจังหวะการซื้อ/ขายตอนมีกำไร และลงทุนในหุ้นธนาคารอื่น ๆ ด้วย

 

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล เร่งลงทุนเทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์มดิจิทัล หวังสร้างโอกาสใหม่ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน จากการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ในปี 2565 จาก บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ซึ่ง GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH อยู่แล้ว จากนั้นก็ได้ดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) หุ้นส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อย

การดำเนินการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ GULF จะได้ถือหุ้นในไทยคมโดยตรงแทนการถืออ้อมผ่าน INTUCH ซึ่ง GULF เชื่อว่าจะช่วยให้บรรยากาศการทำธุรกิจของไทยคมดีขึ้น และมีโอกาสในการต่อยอดธุรกิจไปสู่ New Space ที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต ขยายสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ New Space ซึ่งมองเห็นโอกาสในการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในอนาคต

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจต้องพร้อมปรับตัวรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นเวลาที่ไทยต้องเร่งสร้าง "New Business" และพัฒนา บุคลากรด้านดิจิทัล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน GULF เองก็พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยมีแผนลงทุนในเทคโนโลยี AI และ แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างจริงจัง เพื่อสร้างการเติบโตและโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายการทำธุรกิจตามแผน 5 ปี ที่ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคงไม่มีอะไรที่จะแปลกใหม่ เพราะด้วยปัจจุบันมีธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเยอะจึงต้องดูว่าน่าลงทุนหรือไม่ บริษัทฯ พร้อมลงทุนโดยจะพยายามหาธุรกิจที่อินโนเวชั่นมากขึ้น แต่จะไม่เปลี่ยนโฉมหน้า ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพันธมิตรจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำแพลตฟอร์มดิจิทัล และ AI เป็นต้น ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจเยอะพอสมควร

บริษัทฯ มีการปรับแผนธุรกิจตลอดเวลาตามสถานการณ์ ด้วยหลายอย่างเศรษฐกิจที่อาจเกี่ยวพันมาตั้งแต่เกิดโควิด ซึ่งรัฐบาลได้แจกจ่ายเงินก็อาจจะมีผู้อยู่รอดและฟื้นตัวบ้างก็มีส่วนที่ต่อเนื่อง บริษัทฯ ยืนยันว่ามีสภาพคล่องเพียงพอด้วยความระมัดระวังและมีการบริหารการเงินตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งบางช่วงอาจจะมีการขยายธุรกิจ และบางช่วงอาจชะลอการลงทุนบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่สถานการณ์

สำหรับธุรกิจเรือธงของบริษัทฯ ได้แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. ธุรกิจพลังงาน 2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 3. ธุรกิจดิจิทัล และ 4. ธุรกิจ Investment ซึ่งการดำเนินงานต่างๆ ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถสร้างรายได้และการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยจะเดินหน้าธุรกิจต่อไปและยังไม่มีการเปลี่ยนไป ส่วนการซื้อธุรกิจเพิ่มเติมตอนนี้ยังไม่มี อาจจะได้ยินคนพูดกันไปเรื่อย ซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้จะเป็นการลงทุน

“การซื้อขายหุ้นธนาคารกสิกรไทย ถือเป็นการลงทุนของบริษัทฯ เราไม่ได้ส่งใครไปเป็นกรรมการหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งสิ้น ถือเป็นการลงทุนที่เรามีอยู่แล้วจะซื้อและขายตามจังหวะตามผู้ดูแลเมื่อเห็นว่ามีกำไร ส่วนการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่นๆ ก็มีได้ตลอดเวลา และจะไม่มีก็แล้วแต่การลงทุนอยู่ที่จังหวะ อยู่ที่การตัดสินใจ อยู่ที่ว่าวันนั้นเรามี Priority อื่นๆ อยู่ก่อนหรือเปล่า”

ดังนั้น ถือเป็นไดเรกชั่นการลงทุน เพราะบริษัทฯ ถือเป็นลูกค้าธนาคารอยู่แล้วที่มีการปล่อยกู้ และมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การบริหารธนาคารก็ทำไว้ดีอยู่แล้ว บริษัทฯ จึงเป็นเพียงผู้ถือหุ้นคนหนึ่งที่เข้ามา ส่วนจะมีโอกาสที่จะขยับเป็นผู้ลงทุนในบริษัท ก็คงไม่มีแน่นอน อีกทั้ง ในช่วงนี้ยังมีความผันผวนของเศรษฐกิจที่ GDP โตช้า เกิดหนี้เสียสูง ดังนั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร็วจึงเป็นกลุ่มธนาคาร ซึ่งการลงทุนบริษัทฯ จะต้องมีความระมัดระวัง

“หากจะให้ตอบคำถามที่ว่าในตอนแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นกสิกรเรามองเห็นอะไร ส่วนตัวเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลดี ผู้บริหารดี และเป็นแบงก์ที่มีการทำอินโนเวชั่นค่อนข้างเยอะ ส่วนเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นอีกหรือไม่ ก็ต้องดูซึ่งจริงๆ แล้วเราซื้อหุ้นหลายแบงก์ซึ่งไม่ใช่แบงก์กสิกรแบงก์เดียว”

เมื่อให้ฝากถึงผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ในฐานะที่กัลฟ์ถือเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ นายสารัชถ์ กล่าวว่า ด้วยเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน จึงต้องปรับตัวและทำใจในเรื่องของการลดต้นทุนหรือปรับแนวธุรกิจ เพราะธุรกิจบางตัวทำมานานและเกิดในตลาดที่เปลี่ยนไปอาจต้องระมัดระวัง หากไปไม่ได้จะต้องหยุดและยกเลิกเพราะหากยังดำเนินธุรกิจต่อไปจะเกิดผลกระทบจึงต้องเปลี่ยนแนวธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวคิดจะเปิดกระดานใหม่เกี่ยวกับ “นิว อีโคโนมี” ส่วนตัวไม่อยากมองถึงการเปิดตลาดหุ้นใหม่ เพราะสิ่งที่ต้องแก้ปัญหาคือตลาดหุ้นปัจจุบัน Liquidity ต่ำมากจากที่เคยมีการซื้อขายระดับ 7-8 หมื่นล้านบาท ลดลงเหลือระดับ 2-3 หมื่นล้านบาท ถือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ก่อนการไปเปิดตลาดใหม่เพราะคงไม่ช่วยอะไรมากนัก

ดังนั้น ควรหา product ใหม่เข้ามาในตลาดฯ คือ product ที่เข้ามาแล้วไม่ใช่คนซื้อหุ้น IPO ประมาณ 90% ของปี หรือ 2-3 ปีที่แล้วเข้ามาไม่ใครที่ไม่เจ๊งไม่มีใครอยากลงทุน จึงต้องแก้ปัญหา Liquidity ที่หายไป อีกทั้ง หลายคนบ่นว่าส่วนหนึ่งมาจากโรบอทเทรด และ HFT ทําให้นักลงทุนรายกลาง รายย่อย หรือกองทุนไทยไม่อยากลงทุนเพราะไม่สามารถสู้กับระบบคอมพิวเตอร์ได้ ถ้าตลาดไม่มี Liquidity กองทุนขนาดใหญ่ก็ไม่อยากเข้ามาซื้อเพราะลงทุนได้ไม่เยอะ ซึ่ง MSCI Index ได้ลด percentage การลงทุนในน้ำหนักของประเทศไทยไปค่อนข้างเยอะ

"หากจะให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักคงต้องแก้หลายอย่าง อาทิ การหา product ใหม่ๆ และอีกหลายอย่าง เพราะจริงๆ แล้วหลายบริษัทมีผลประกอบการค่อนข้างดี ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงตลอด

นายสารัชถ์ ตอบคำถามกรณีที่ไปพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นไม่มีอะไรมาก ไปในฐานะเอกชนส่วนตัวไม่ได้หารือเกี่ยวข้องกับรัฐบาล และด้วยมารยาทถือว่าไม่ใช่หน้าที่แต่ไปในฐานะบริษัทไทยที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้วและพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเติมถ้ามีโอกาส ส่วนตัวเคยเจอกับทรัมป์มาก่อน โดยทรัมป์บอกเสมอว่าชอบเมืองไทย ซึ่งแนวโน้มการหารือกับรัฐบาลไทยก็ค่อนข้างดี มีการตอบรับที่ดี แต่ไม่ได้สอบถามรายละเอียดว่าจะจบเมื่อไหร่

“เชื่อว่าวันนี้น่าจะยุ่ง เพราะทุกประเทศในโลกไปเจรจาหมดจึงน่าจะหารือกับประเทศใหญ่ๆ ก่อน ซึ่งทรัมป์ก็ไม่ได้เกลียดชังประเทศไทย เพราะด้วยการทำธุรกิจที่ต้องทำการค้าขายจึงต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เขารู้สึกว่าเสียเปรียบขึ้นมาซึ่งมีประเทศที่เสียเปรียบเยอะและน้อยแตกต่างกันออกไป”

สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ นั้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีการลงทุนกลุ่มธุรกิจพลังงาน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแผนเพิ่มเติมการลงทุนอะไร เพราะมีการลงทุนในหลายประเทศ จึงต้องดูผลตอบแทนของการลงทุนเป็นหลัก ยืนยันว่าไม่ได้ลงทุนเพื่อเป็นการไปเอาใจสหรัฐฯ แต่จะมองผลประโยชน์บริษัทฯ เป็นหลัก ส่วนตลาดสหรัฐฯ ก็มีดีบ้างไม่ดีบ้างทางธุรกิจแต่โดยรวมก็โอเคไม่มีอะไร

“ส่วนตัวมองว่าสหรัฐฯ ยังเป็นมิตรที่ดีกับไทย ไม่น่าจะเล่นงานไทย เพราะเราไม่มีปัญหาอะไรกับเขาเพียงแค่จะดูเรื่องของหาจุดสมดุลการค้าขายกับไทยมากกว่า ผมว่าน่าจะไปได้เชื่อว่าคงมีโซลูชั่นออกมา สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำอยู่ก็คงมีการคุยอยู่เยอะพอสมควร เดาว่าน่าจะได้รับข้อเสนอรัฐบาลไทยไปแล้ว คงจะเปรียบเทียบกับหลายคน อันนี้ผมคาดการณ์เอาเอง”

นายสารัชถ์ ยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่สนใจในธุรกิจนิวเคลียร์ขาดเล็ก (SMR) ในประเทศไทยเพราะมองว่ายาก อะไรก็ตามที่เป็นนิวเคลียร์ในประเทศไทยเกิดยาก ส่วนตัวไม่ใช่มองว่าไม่ดี แต่ในแง่บริษัทฯ คิดว่ายังไม่พร้อมที่จะไปทำ และตนยังไม่ค่อยมั่นใจว่าสังคมไทยจะยอมรับแม้จะ SMR ก็ยังมีกัมมันตภาพรังสีอยู่ดี เพราะประเด็นไม่ใช่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก แต่ประเด็นคือเมื่อเป็นนิวเคลียร์อยู่ คนยังเห็นภาพเก่าที่เคยเห็นอุบัติเหตุขึ้นมาก็คงไม่กล้า