‘ราคาน้ำมันไทย’ จะถูกลงได้อย่างไร?

‘ราคาน้ำมันไทย’ จะถูกลงได้อย่างไร?

ในห้วงเวลาที่คนไทยเห็นราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมัน แล้วต้องถอนหายใจกับค่าครองชีพที่ดูเหมือนจะไม่มีวันลดลงได้ง่าย 

เสียงเรียกร้องให้ “ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ” ดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมคำถามว่า เมื่อฐานะกองทุนเริ่มเป็นบวก ทำไมยังต้องเก็บเงิน?

คำถามนี้อาจฟังดูสมเหตุสมผล หากเห็นแค่ยอดเงินในบัญชีของกองทุนน้ำมันฯ แต่เมื่อมองลึกลงไปถึง “ภารกิจ” จะพบว่า การจัดเก็บเงินไม่ได้เป็นเพียงการสะสม แต่คือการ “ป้องกันอนาคต” ที่ไม่แน่นอนของพลังงานโลก เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกปัจจุบัน 3 วันลง 4 วันขึ้น 

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ในวันนี้ ไม่ได้มีหน้าที่แค่บริหารราคาน้ำมันให้นิ่งเฉย ๆ หากแต่เป็นกลไกที่คอยดูดซับความปั่นป่วนของราคาน้ำมันโลกให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด

จากข้อมูล “สกนช.” ณ วันที่ 25 พ.ค. 2568 บัญชีน้ำมันเริ่มกลับมาบวก 2,607 ล้านบาท ขณะที่บัญชี LPG ยังติดล 44,881 ล้านบาท และ ยอดหนี้รวมจากการกู้เงินเพื่อรับมือวิกฤติพลังงานสูงถึง 80,138 ล้านบาท

ในขณะที่ราคาน้ำมันโลกยังผันผวน จากมาตราการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้น ความไม่สงบระหว่างประเทศที่ยังไม่มีข้อยุติ ตลอดจนท่าทีการเพิ่มการผลิตน้ำมันจากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ถ้าจะปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศ “ลอยตัว” โดยไม่มีเบาะรองรับ เกิดเป็นความเสี่ยงกับค่าครองชีพประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น หากถามว่าจะลดราคาน้ำมันกี่โมง? เมื่อย้อนดูข้อมูลตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันฯ ลดการจัดเก็บเงินในกลุ่มน้ำมันเบนซินลง 1.60 บาทต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บ 4.60 บาทต่อลิตร ปัจจุบันเหลือ 3 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาดีเซลลงอีก 1 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกลดลงจาก 32.94 บาทต่อลิตร เหลือ 31.94 บาทต่อลิตร 

พร้อมพยุงราคาขายปลีกไม่ให้ปรับขึ้นจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร และตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) โดยไม่จัดเก็บเพิ่มแม้บัญชียังติดลบ ซึ่งการปรับเพิ่ม (ลด) อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละครั้งเพื่อความเหมาะสม 

ดังนั้น จะเห็นว่า การลดราคาไม่ได้เกิดจากราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างเดียว หากแต่เกิดจาก “การพยุงราคาและรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน” ของกองทุนน้ำมันฯ ที่คอยอุ้มไว้ไม่ให้ร่วงเร็วเกินไป หรือเด้งแรงจนเกินจำเป็น

สิ่งที่สังคมอาจลืมไปคือปี 65-66 วิกฤติราคาน้ำมันดิบทะลุเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ รับภาระตรึงราคาไม่ให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงเกินระดับที่ประชาชนจะแบกรับได้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ขาดดุลกว่า 1.3 แสนล้านบาท ต้องกู้เงินเพื่อประคองสถานการณ์มาโดยตลอด

วันนี้ อาจเห็นตัวเลขในบัญชีบางส่วนเริ่มกลับมาเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หนี้ก้อนใหญ่ในอดีตได้ถูกลบหายไป การบริหารกองทุนน้ำมันฯ จึงต้องเดินไปบนเส้นบาง ๆ ระหว่าง ความคาดหวังของประชาชน และ ความรับผิดชอบทางการคลังระยะยาว

เพราะในที่สุดแล้วคำถามไม่ใช่ว่า “จะเก็บเงินหรือลดเงินหรือไม่?” แต่คือ “เราจะมีเสถียรภาพด้านราคาพลังงานหรือไม่?” ในวันที่โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

จึงเป็นเหตุผลที่กองทุนน้ำมันฯ ยังคงเก็บเงิน เพื่อให้พรุ่งนี้…ราคาน้ำมันยังไม่ทำให้ค่าครองชีพของเราหนักกว่าวันนี้!