สร้าง 'คนคลัง' ยุค AI ความท้าทายใหม่ 'เทคโนโลยีดิจิทัล'

สร้าง 'คนคลัง' ยุค AI ความท้าทายใหม่ 'เทคโนโลยีดิจิทัล'

"กระทรวงการคลัง" เดินหน้ายกระดับนวัตกรรม มุ่งสร้าง "คนคลัง" ยุค AI ท่ามกลางความท้าทายใหม่ "เทคโนโลยีดิจิทัล"

ปัจจุบัน โลกกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด กระทรวงการคลัง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเงินรายได้และรายจ่ายของประเทศก็เผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขาย ธุรกรรมที่ซับซ้อนขึ้น และข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล ทำให้กระทรวงต้องหาทางแก้ปัญหาใหม่

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ให้แนวคิดว่า จากนี้ไป กระทรวงการคลังจะเป็นองค์กรดิจิทัลสมบูรณ์แบบ เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี และบริการประชาชนให้ดีขึ้น โดยให้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร และสร้างคนคลังให้เหมาะกับยุคดิจิทัล

กระทรวงการคลัง จับมือกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรปริญญาโทเฉพาะด้าน เรื่อง "การบริหารจัดเก็บภาษี และการยกระดับนวัตกรรม" เพื่อพัฒนา "คนคลัง" รุ่นใหม่ให้มีความพร้อม

คนคลังรุ่นใหม่นี้ต้องมีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และเข้าใจโลกดิจิทัลได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องมีการฝึกอบรมเพิ่มเติม (Upskill & Reskill) อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ และดึงดูดคนเก่งด้านเทคโนโลยีเข้ามาทำงานในภาครัฐ

สำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาคน คือก้าวสำคัญที่จะนำ "การคลังไทย" ไปสู่การบริหารจัดการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และพร้อมรับอนาคต โดยการปฏิรูปครั้งนี้ไม่ได้จำกัดแค่กรมใดกรมหนึ่ง แต่เป็นการปรับปรุงระบบการทำงานทั้งหมด โดยแต่ละกรมมีความก้าวหน้า ดังนี้

กรมสรรพากร: ระบบจัดเก็บภาษีดิจิทัลเต็มรูปแบบ

กรมสรรพากรเป็นผู้นำในการใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ โดยระบบที่นำมาใช้ไม่เพียงทำให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพและโปร่งใสขึ้น แต่ยังช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษีด้วย ประกอบด้วย

  • ยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ - ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเดินทาง
  • ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ - ลดการใช้กระดาษ ป้องกันการปลอมแปลง
  • ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ - ตรวจสอบข้อมูลได้รวดเร็วและถูกต้อง

กรมสรรพสามิต: เทคโนโลยีคุมเข้มสินค้าพิเศษ

กรมสรรพสามิต ดูแลการจัดเก็บภาษีจากสินค้าพิเศษ เช่น เหล้า บุหรี่ น้ำมัน รถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งมักมีปัญหาการลักลอบและหลีกเลี่ยงภาษี รวมทั้งกรมศุลกากรเป็นด่านหน้าสำคัญในการควบคุมสินค้านำเข้า - ส่งออก การใช้เทคโนโลยีจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยระบบที่นำมาใช้ประกอบด้วย

  • QR Code บนสินค้า - เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบที่มา การชำระภาษี และรายละเอียดอื่นๆ ได้ทันที
  • ระบบติดตามห่วงโซ่อุปทาน - ป้องกันสินค้าผิดกฎหมายและลดการหลีกเลี่ยงภาษี

กรมศุลกากร: ยกระดับการตรวจการณ์ชายแดน

กรมศุลกากรได้ยกระดับการตรวจการณ์ชายแดนและการสืบสวน กรมศุลกากรเป็นด่านหน้าสำคัญในการควบคุมการนำเข้า - ส่งออกสินค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่ถูกต้อง และเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ประกอบด้วย

  • เครื่องเอกซเรย์ขนาดใหญ่ - ตรวจสอบสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเปิดตรวจทั้งหมด
  • ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง - ประเมินความเสี่ยงของสินค้าแต่ละเที่ยว ทำให้ตรวจสอบได้แม่นยำ
  • ระบบฐานข้อมูลสืบสวน - ติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจับกุมผู้กระทำผิด

กรมธนารักษ์: บริหารที่ราชพัสดุอย่างมีระบบ

กรมธนารักษ์บริหารที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์มีภารกิจในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุจำนวนมหาศาลทั่วประเทศ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการข้อมูลที่ดิน อาคาร สัญญาเช่า การใช้ประโยชน์ และการประเมินมูลค่า โดยมีที่ดินกรมธนารักษ์บริหารจัดการ แบ่งเป็นที่ราชพัสดุที่ใช้ในราชการ 9.6 ล้านไร่ และที่ราชพัสดุที่นำมาจัดหาประโยชน์ 0.919 ล้านไร่

สำหรับการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ช่วยให้การบริหารจัดการที่ราชพัสดุเป็นไปอย่างมีระบบ ตรวจสอบได้ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำที่ราชพัสดุไปใช้ประโยชน์ให้เกิดมูลค่าสูงสุด ประกอบด้วย

  • ฐานข้อมูลที่ดิน อาคาร - จัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ
  • ระบบสัญญาเช่าและการใช้ประโยชน์ - ตรวจสอบได้ ลดความซ้ำซ้อน
  • ระบบประเมินมูลค่า - นำที่ราชพัสดุไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล โดยมีการติดตามรายได้จากธุรกรรมออนไลน์ยาก การซื้อขายสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ยากต่อการติดตาม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่จดทะเบียน การขายของผ่านโซเชียลมีเดีย หรือรายได้จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ ล้วนเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงภาษี

ในขณะที่ธุรกิจรูปแบบใหม่ซับซ้อน ธุรกิจดิจิทัลมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น แพลตฟอร์มบริการต่างๆ การแบ่งปันทรัพย์สิน (Sharing Economy) สินทรัพย์ดิจิทัล (เหรียญดิจิทัล, NFT) การจัดเก็บภาษีจากแหล่งเหล่านี้ต้องการความเข้าใจลึกซึ้งและกฎหมายที่ทันสมัย

นอกจากนี้ ข้อมูลมหาศาลกระจัดกระจาย โดยธุรกรรมดิจิทัลสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามแพลตฟอร์มต่างๆ สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐอื่นๆ การรวบรวม เชื่อมโยง และวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เป็นงานที่ท้าทายมาก รวมทั้งมีการการหลีกเลี่ยงภาษีข้ามพรมแดน เพราะผู้ประกอบการดิจิทัลตั้งฐานอยู่ประเทศใดก็ได้ และให้บริการลูกค้าทั่วโลก ทำให้ยากต่อการระบุและบังคับใช้กฎหมายภาษี โดยเฉพาะผู้ให้บริการที่ไม่มีสำนักงานถาวรในไทย

  • AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยปฏิรูปกระบวนการจัดเก็บภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
  • AI ตรวจช่วยจับผู้หลีกเลี่ยงภาษี AI สามารถวิเคราะห์แพทเทิร์นและระบุพฤติกรรมน่าสงสัย หรือธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษี หรือการคืนภาษีปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
  • AI ช่วยประเมินความเสี่ยง AI สามารถจัดลำดับความเสี่ยงของผู้เสียภาษีแต่ละราย หรือกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดสรรกำลังคนและทรัพยากรในการตรวจสอบได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด