เหล็กไทยผนึกกำลังญี่ปุ่น! อัพเกรดเทคโนโลยีสู้ศึกทุนจีน

เหล็กไทยผนึกกำลังญี่ปุ่น! อัพเกรดเทคโนโลยีสู้ศึกทุนจีน

อุตสาหกรรมเหล็กไทยผนึกกำลังครั้งใหญ่! "นิปปอน-สหวิริยา" ลุยเพิ่มความแข็งแกร่งองค์กร อัพเกรดเทคโนโลยีสู้ศึกทุนจีน

KEY

POINTS

  • นิปปอน สติลฯ ลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ให้เครื่องจักรทันสมัยผลิตเหล็กปล่อยคาร์บอนต่ำ บริหารระบบรีไซเคิลลดต้นทุนเพิ่มความคล่องตัว
  • นิปปอน สติลฯ เป็นกลุ่มเดียวที่ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนด้วย เตาอาร์คไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ รวมถึงเป็นผู้รีไซเคิลเศษเหล็กรายใหญ่ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์
  • การควบรวม TCRSS-TCS มีผล 1 ตุลาคม 2568 นี้ โดยมีเป้าหมายเสริมสร้างประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพสินค้าและการตอบสนองความต้องการลูกค้าด้วยโซลูชันที่หลากหลายพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน

"อุตสาหกรรมเหล็กไทย" กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จาก "ทุนจีน" ที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวและผนึกกำลังเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางธุรกิจ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของอุตสาหกรรมภายในประเทศ 

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน อุตสาหกรรมเหล็กไทยจะสามารถยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้อย่างไร นี่คือโจทย์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาคำตอบ

ช่วงปี 2565 กลุ่มนิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น (NSC) ประเทศญี่ปุ่น ได้ทุ่มเงินสูงถึง 25,000 ล้านบาท ซื้อกิจการ บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ G Steel รวมทั้งบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ G J Steel ผู้นำในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อลดการพึ่งพาถ่านหินในการผลิตเหล็ก และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 

ภายหลังความร่วมมือได้เกิดการพัฒนาธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนใน G Steel และ G J Steel เพื่อให้ธุรกิจดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ลดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ ที่สำคัญจะทำให้ต้นทุนรวมในการผลิตเหล็กต่ำลง จากข้อมูล  Worldsteel.org  ระบุว่าปี 2020 นิปปอนสตีลฯ  มีกำลังผลิตเหล็กได้จริงที่ 41.58 ล้านตัน อยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก (จากความสามารถในการผลิตเต็มของกลุ่มนิปปอน สตีลมีกว่า 60 ล้านตันต่อปี)

สำหรับ G Steel และ G J Steel ในช่วงที่ผ่านมาเผชิญปัญหาไม่ต่างจากผู้ผลิตเหล็กค่ายอื่น เห็นชัดเจนจากที่เดินการผลิตจริงยังไม่เต็มที่ หรือผลิตได้เพียง 30-40% ของกำลังผลิตเต็มเพดานเท่านั้น เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกซบเซาท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 อีกทั้งก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศไทยเผชิญมรสุมการทุ่มตลาดเหล็กราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ มาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ กลุ่มนิปปอน สตีลฯ ได้ลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะในหลายรูปแบบโดยเฉพาะการเข้าถือหุ้นในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นในนามบริษัท เอ็นเอส-สยามยูไนเต็ดสตีล จำกัด (NS-SUS) ส่วนเหล็กปลายน้ำอื่น ๆ ที่นิปปอน สตีลฯ ลงทุนในไทยเป็นเหล็กเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียม ในนามบริษัท เอ็นเอส บลูสโคป รวมถึงเข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Siam Tinplate จำกัด ผลิตเหล็กเคลือบดีบุก รวมถึงร่วมลงทุนผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนขนาดใหญ่แบบแพ็คคู่กับ G Steel และ G J Steel

 อีกทั้ง ในช่วงเดือนส.ค.2567 ผู้บริหารของ G Steel และ G J Steel ได้หารือกับนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อลงทุนปรับปรุงสายการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท ภายในระยะ 3 ปีข้างหน้า ประกอบด้วยการลงทุนของ บมจ. จี สตีล ที่จังหวัดระยอง 3,000 ล้านบาท และ บมจ. จี เจ สตีล ที่ จ.ชลบุรี 1,500 ล้านบาท

เพื่อให้เครื่องจักรทันสมัย พัฒนาคุณภาพ และขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายยิ่งขึ้น ยกระดับสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตเหล็กที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงการพัฒนาระบบจัดการวัตถุดิบเหล็กรีไซเคิลเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการผลิต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ 

โดย กลุ่มนิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น (NSC) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ G Steel และ G J Steel เป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ก่อตั้งสายการผลิตแรกในประเทศไทยมากว่า 60 ปี เริ่มจากการผลิตท่อเหล็กก่อนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยมีบริษัทในเครือกว่า 30 แห่ง มีพนักงานในไทยรวมกันกว่า 8,000 คน เป็นกลุ่มบริษัทเดียวที่ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ 

และยังเป็นผู้รีไซเคิลเศษเหล็กรายใหญ่ในประเทศไทย ที่ได้รับใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวของไทย และสอดรับกับทิศทางความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำในตลาดโลก

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการใช้เหล็กต่อคน (Steel consumption per capita) มากที่สุดในอาเซียน คือ ประมาณ 234 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กในประเทศไทยประมาณ 180 ราย แบ่งเป็นเหล็กทรงยาวประมาณ 100 ราย และเหล็กทรงแบนประมาณ 80 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเหล็กเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (60%) รองลงมา ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน (20%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (7%) เครื่องจักร และอุปกรณ์อุตสาหกรรม (5%) และบรรจุภัณฑ์ (5%) และอื่น ๆ (3%)

โดยที่ผ่านมาตลาดเหล็กในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันอย่างรุนแรงจากภาวะ Oversupply และการเร่งระบายเหล็กจากประเทศจีนออกสู่ตลาดโลก การที่  G Steel และ G J Steel  ขยายการลงทุนจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทเหล็กในประเทศไทย รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของกติกาการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะตลาดกลุ่มยุโรปในอนาคต

ขณะที่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI , บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น หรือ JFE Steel และบริษัท มารูเบนิ-อิโตชู สตีล จำกัด (Marubeni-Itochu Steel)  ในฐานะผู้ร่วมทุน ของ 1. บริษัท เหล็กแผ่นเคลือบไทย จำกัด (TCS) และ 2. บริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCRSS ได้ควบรวมกิจการของบริษัททั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน โดยมีผลวันที่ 1 ต.ค. 2568 นี้

ทั้งนี้ TCRSS จะเป็นบริษัทที่รับโอนกิจการ TCS ไปทั้งหมด (รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ TCRSS หลังจากการโอนกิจการ โดยทั้งหมดนี้เป็นการปรับโครงสร้างกิจการภายใต้กฎหมายไทย

  • TCS และ TCRSS ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 ในฐานะบริษัทร่วมทุนระหว่าง JFE Steel, Marubeni-Itochu Steel จากประเทศญี่ปุ่น และ SSI ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมเหล็กของไทย
  • TCS เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2537 โดยผลิตและจำหน่ายเหล็กชุบสังกะสีด้วยไฟฟ้าคุณภาพสูง สำหรับกลุ่มลูกค้าในอุปกรณ์สำนักงาน (OA), เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, ชิ้นส่วนยานยนต์ สำหรับตลาดในประเทศไทย
  • TCRSS เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2540 โดยเน้นการผลิตเหล็กรีดเย็นคุณภาพสูง สำหรับกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สำหรับตลาดในประเทศเช่นกัน

นายยงยุทธ มลิทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCRSS เล่าว่า การควบรวมกิจการภายใต้ความร่วมมือของพันธมิตร ทั้ง JFE Steel, Marubeni-Itochu Steel และ SSI มุ่งสานพลังร่วม (Synergy) ในด้าน 1. เสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การตลาด และการผลิต 2. ยกระดับคุณภาพสินค้าและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าด้วยการนำเสนอโซลูชันต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ และ 3. พัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจเหล็กกลางน้ำถึงปลายน้ำ  นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยอีกด้วย

ดังนั้น การควบรวมสะท้อนถึงความตั้งใจของ TCRSS เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งให้กับทั้งองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่เหล็กแผ่นรีดเย็น ไปจนถึงเหล็กเคลือบสังกะสี พร้อมโซลูชันที่ตอบโจทย์ตลาดอย่างครบถ้วน ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านคุณภาพและการส่งมอบที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

"ส่วนของบุคลากรเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการพัฒนาทักษะ เส้นทางอาชีพที่มั่นคง และการเติบโตในองค์กรที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดย TCRSS ยังคงให้ความสำคัญกับการจ้างงานในพื้นที่บางสะพาน ขณะเดียวกัน ชุมชนโดยรอบจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจที่มีเสถียรภาพ ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการดูแลเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่บริษัทให้ความสำคัญมาโดยตลอด" นายยงยุทธ กล่าวสรุป

การลงทุนและการปรับโครงสร้างของกลุ่มผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศไทย สะท้อนถึงการรับมือกับแรงกดดันจากทุนจีนและการแข่งขันระดับโลก โดยเน้นการยกระดับเทคโนโลยี การลดคาร์บอน และการสร้าง Synergy ซึ่งจะเป็น หัวใจสำคัญ ของกติกาการค้าระหว่างประเทศในอนาคต และสนับสนุนการก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวของไทย