ประเทศไทยในศึกชิง ‘คนเก่ง’ : ถึงเวลาสร้างแม่เหล็กดึงดูด Global Talent

“เรากำลังย้ายจากยุคของทุนนิยม (capitalism) ไปสู่ยุคของศักยภาพนิยม (Talentism)” Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง WEF คำกล่าวของ Klaus ข้างต้น อาจขยายความได้ว่า ปัจจัยการแข่งขันที่สำคัญ
จะไม่ใช่ต้นทุนต่ำหรือการมีทุน แต่คือความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของมนุษย์”
“Talent” จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสมการนี้
“Tech Pass” วีซ่าใหม่ของสิงคโปร์ ที่ดึงดูดบรรดา “อัจฉริยะด้านเทคโนโลยี” และ “ผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัป” ไม่เพียงตอกย้ำสิงคโปร์ให้ “เนื้อหอม” ของการเป็นฮับด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคอาเซียน ทว่ายิ่งช่วยยกระดับเศรษฐกิจสิงคโปร์ให้ “คึกคัก-มีสีสัน”
ข้ามฝั่งไปยังตะวันออกกลาง “ดูไบ” ก็ออกวีซ่าดึงดูด “Global Talent” เช่นเดียวกัน หรือที่รู้จักในนาม “วีซ่าทองคำ” (Gloden Visa) สำหรับผู้ประกอบการระดับ “เชี่ยวชาญ” และ “นักลงทุน” พวกเขาได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่าง อาทิ “Full Business Ownership” หรือ สิทธิการเป็นเจ้าของกิจการอย่างเต็มรูปแบบ หรือ การต่ออายุการพำนักได้ถึง 10 ปี โดยอิสระ เป็นต้น
เอสโตเนีย เป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่ออกนโยบาย “E-Residency” และ “Digital Nomad Visa” เพียง 3 ปี ก็สามารถดึงดูดสตาร์ตอัปกว่า 5,000 ราย สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 100 ล้านยูโรต่อปี
หลายประเทศเข้าใจการแข่งขันของโลกในศตวรรษที่ 21 (Multi-Polar Era) โลกที่การแข่งขันไม่ได้อยู่เพียง “เงินทุน” หรือ “ภูมิรัฐศาสตร์” อีกต่อไป ทว่าคือ การแข่งขันลงทุนในสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือ “คนเก่งระดับโลก” หรือ “Global Talent” ถ้าเปรียบเป็นกีฬา ก็นับว่าไม่ใช่การค้าแข้งธรรมดา แต่เป็นการสูบฉีดล่วงหน้าด้วย “วีซ่า ภาษี คุณภาพชีวิต และธุรกิจ” (Talent Strategy) ล้อไปด้วยกัน
สิ่งเหล่านี้นับเป็น “เทรนด์” ที่น่าสนใจ ที่ “ไทย” เราควรพิจารณาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณารายได้ของประเทศจากการจัดเก็บภาษี ที่ค่อนข้างท้าทาย หรือพูดง่ายๆ ฐานเรายัง “แคบ” อยู่ โดยพบว่า ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบแสดงรายได้ไม่ถึง 11 ล้านคน และมีผู้ที่ “จ่ายจริง” (Net Taxpayer) ราว 3 ล้านคนเท่านั้น
เทียบกับสิงคโปร์ซึ่งมีประชากรราว 5.6 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีรายได้มากกว่า 2 ล้านคน เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตัวเลขนี้จะยิ่ง “สูง และสอดคล้อง” กับสัดส่วน “GDP” ที่มาจากภาษีบุคคลธรรมดา
การดึงดูด “คน” ไม่เพียงเป็นคำตอบสำหรับสนามการแข่งขันของโลกปัจจุบันตามที่ผมได้จั่วหัวไว้ แต่เรายังสามารถยกระดับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะสามารถเพิ่มได้หลายแสนล้านบาทต่อปี
เงินเหล่านี้ยังอาจช่วยลดภาษีคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง นำไปลงทุนโครงการสร้างพื้นฐาน เพิ่มคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ในภาพรวมได้ไม่น้อย
ลองคิดดูว่า หากไทยสามารถดึงดูด “Global Talent” ได้เพียง 50,000 คน ภายใน 5 ปีแรก และหากพวกเขาจ่ายภาษีเฉลี่ยคนละ 300,000 บาทต่อปี เท่ากับเราจะสามารถจัดเก็บภาษีใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 15,000 ล้านบาท โดยไม่เพิ่มภาระกับประชาชนคนไทย และลองคิดดูว่าหากดึงดูดมาได้ 5 ล้านคน จะเกิดอะไรขึ้น?
เพื่อให้เป็นรูปธรรม ผมใคร่ขอเสนอ 5 สิ่ง เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง โดยหลายส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับทั้งกฎหมาย ระบบภาษี สร้าง “แม่เหล็กดึงดูด” อัจฉริยะโลกเหล่านั้นมาลงทุน หรือทำงานที่ประเทศไทย
1.วีซ่าสำหรับ “อัจฉริยะด้านเทคโนโลยี” และ “ดิจิทัลโนแมด” ที่สมัครง่าย พำนัก และทำงานระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในสายงานเทคโนโลยีข้อมูล และดิจิทัล
2.อัตราภาษีอัจฉริยะ (Smart Tax Rate) โดยขอเสนอให้ใช้ระบบภาษีอัตราคงที่ (Flat Rate) อาทิ จัดเก็บอยู่ที่ร้อยละ 15 เพื่อจูงใจชาวต่างชาติ มากกว่าระบบภาษีก้าวหน้า ซึ่งอาจเป็นการจัดเก็บภาษีที่ถูกกว่าประเทศต้นทาง และต้องไม่เพิ่มภาระทางภาษีให้กับคนไทย
3.บริการครบ จบในที่เดียว กระตุ้นให้มีหน่วยงานที่ให้บริการสำหรับการจดทะเบียน และให้ใบอนุญาตจัดตั้งบริษัท หรือสตาร์ตอัป ครบจบในที่เดียว เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ไม่เป็นอุปสรรคของการลงทุน หรือการโยกย้ายถิ่นฐาน
4.สิทธิด้านสุขภาพ และการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานเทียบเท่าคนไทย ไทยเองเป็นฮับ และมีสมรรถนะสูงด้านการให้บริการสุขภาพอยู่แล้ว ปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยมารักษาพยาบาลที่ไทย การให้สิทธิด้านสุขภาพที่เทียบเท่ากับคนไทย ย่อมดึงดูด “Global Talent” ให้หมดความกังวลเรื่องสุขภาพ
5.จัดตั้งโปรแกรมสนับสนุนการปรับตัวในประเทศไทย (Soft Landing & Community Integration) มีระบบรองรับทั้งภาษา วัฒนธรรม และเชื่อมโยงกับชุมชนธุรกิจในไทย เพื่อให้ขยาย “เครือข่าย” ทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากการสนับสนุน “ดึงดูด” ผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพสูงข้างต้นแล้ว การลงทุน "ทุนมนุษย์” ในประเทศก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในฐานะภาคเอกชน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือซีพี มีโครงการ SPLD หรือ “Strategic Project & Leadership Development”
ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาผู้นำเชิงกลยุทธ์โดยวิสัยทัศน์ของคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ออกแบบมาเพื่อสร้าง “ผู้นำรุ่นใหม่” ให้เป็น “Global Talent”
กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” ของ SPLD จะได้รับการคัดเลือกจากแต่ละแผนก หรือหน่วยงาน โดยไม่จำกัดสายงาน รวมตัวกันเป็นทีม เข้าอบรมผ่านวิธีการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง (Action-Based Learning) ได้รับโจทย์ให้คิดค้น ลงมือ พัฒนาโครงการจริง (Strategic Project)
โดยโจทย์มักเป็นปัญหา หรือความท้าทายทางธุรกิจขององค์กร ที่ต้องอาศัยทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาเชิงระบบ โดยมีผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
กอปรกับวิสัยทัศน์ของเครือฯ ที่สนับสนุนให้กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” สามารถเห็น End-to End Process ของธุรกิจ หรือโครงการเป็นภาพมุมสูงจากเดิมที่มีเพียง “ซีอีโอ” หรือ “ผู้บริหารระดับสูง” เท่านั้นที่เข้าถึงภาพเหล่านี้
จะทำให้กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” สามารถเชื่อมโยงงานของตนกับเป้าหมายขององค์กรได้ชัดเจนมากขึ้น ตัดสินใจอย่างเป็นกระบวนการมากขึ้น
ผมเชื่อมั่นว่า การ “ดึงดูด” คนเก่งจากทั่วโลก ควรทำควบคู่ไปกับการ “ปลุกปั้น” คนไทยของเรา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ และทั้งสองสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันได้ สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่นับข้อได้เปรียบที่มีอยู่แล้วทั้งค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต ระบบบริการสุขภาพและการเชื่อมต่อภูมิภาคที่สะดวกสบาย
หากมีนโยบายและระบบรองรับอย่างจริงจัง ไทยอาจกลายเป็น “บ้านหลังที่สองของคนเก่งจากทั่วโลก และบ้านที่น่าอยู่อาศัยมากขึ้นของคนไทยเราเอง” ก็ว่าได้







