‘Japan DX’ ทุนมนุษย์-เอไอ กับโอกาสทางธุรกิจใหม่ | บทความพิเศษ

D ย่อมาจาก Digital ส่วน X มาจาก Transformation คำว่า “ดีเอ็กซ์” ปรากฏครั้งแรกในรายงาน DX Report ของ METI (เมติ) กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ในเดือนกันยายน 2561
สร้างความตื่นตัวทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและสื่อมวลชน จนกลายเป็นวาระแห่งชาติ ในทุกวงการทั้งโลจิสติกส์ ค้าปลีก การเงิน การผลิต ฯลฯ รวมทั้ง Digital Government โดยหวังว่าจะช่วยพลิกฟื้นสองทศวรรษที่สูญหายจากเศรษฐกิจตกต่ำ และแก้ปัญหาสังคมสูงวัยที่ญี่ปุ่นมีผู้สูงอายุกว่า 29% ของประชากรแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องลงทุนในทุนมนุษย์อย่างมโหฬาร เพื่อให้มี AI Literacy และทักษะดิจิทัล (digital skills) ข้อถกเถียงของทฤษฎีทุนมนุษย์ โดยศาสตราจารย์ Gary Becker (แกรี่ เบคเกอร์) ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2535 ต้องกลับมาอีกครั้งด้วย 2 คำถามสำคัญคือ คุ้มค่ากับการลงทุนไหม และ ใครจะเป็นคนจ่ายเพื่อลงทุน
จะวิเคราะห์ว่าการลงทุนในทุนมนุษย์ให้มีทักษะเอไอและดิจิทัลนั้นคุ้มค่าหรือไม่ ต้องดูสมการว่าค่าใช้จ่ายสูงเท่าไหร่ และอีกด้านหนึ่งดูว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) มากน้อยเพียงใด โดยคำนวณหลังจากฝึกอบรมไปจนถึงเกษียณอายุ
หากผลตอบแทนสูงกว่าค่าใช้จ่ายก็คุ้มค่า แต่หากต่ำกว่าก็ไม่ควรลงทุน คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเทคโนโลยีเอไอและดิจิทัลใหม่นี้สร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาล คำถามจึงตามมาว่า แล้วใครจะเป็นคนจ่าย
ศาสตราจารย์เบคเกอร์อธิบายคำว่า “Skills (ทักษะ)” ซึ่งเป็นหัวใจของทฤษฎีนี้ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ general skills (ทักษะทั่วไป) กับ firm-specific skills (ทักษะเฉพาะองค์กร)
ทักษะทั่วไป เช่น ความสามารถใช้ภาษาอังกฤษ คำนวณ คิดเชิงตรรกะ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันต่างๆ เมื่อพนักงานได้เรียนรู้ฝึกฝนแล้วก็สามารถใช้ได้กับองค์กรปัจจุบัน หรือย้ายไปทำงานที่อื่นก็ยังใช้งานได้อย่างเต็มที่
ส่วนทักษะเฉพาะองค์กรจะใช้ได้ดีที่สุดในองค์กรนั้นๆ หากพนักงานย้ายไปทำงานที่อื่นแล้วแทบจะใช้ไม่ได้ หรือได้ไม่เต็มที่ เช่น หากเป็นพนักงานขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้กับบริษัทหนึ่ง จะมีความรู้ความเข้าใจอธิบายผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี
มีข้อมูลลูกค้า เครือข่ายคู่ค้า และเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งประสบการณ์ฝ่าปัญหาต่างๆ ร่วมกันมา หากย้ายไปบริษัทอื่น ขายสินค้าอื่น จะนำเอาทักษะเฉพาะองค์กรเหล่านี้ไปใช้ต่อแทบไม่ได้เลย
ดังนั้น ตามทฤษฎีทุนมนุษย์ บริษัทมีหน้าที่จ่ายลงทุนพัฒนาทักษะเฉพาะองค์กรให้กับพนักงาน แต่จะถกเถียงกันอย่างมากเมื่อกล่าวถึงทักษะทั่วไปที่พนักงานได้ผลตอบแทนอย่างเต็มที่
แต่พนักงานเองก็คงโต้แย้งว่าบริษัทปัจจุบันก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น บริษัทก็ควรช่วยออกเงินเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ค่าใช้จ่ายลงทุนในทักษะเอไอและดิจิทัลจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น เมื่อองค์กรต้องการทาเลนต์ด้านนี้อย่างจริงจัง
ข้อถกเถียงว่าใครจะจ่ายก็จะเกิดขึ้น และถ้าบริษัทลงทุนไปแล้วจะดึงดูดให้มนุษย์ทองคำกลุ่มใหม่อยู่กับองค์กรไม่ย้ายไปไหนได้อย่างไร จะเป็นคำถามตามมา ซึ่งอาจจะต้องใช้แผนการสะกิด (Nugde) และ People analytics อย่างที่บริษัท Google ทำ
เมื่อบริษัทลงทุนในทุนมนุษย์ของพนักงาน ปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นออนไลน์ สร้างฐานข้อมูลให้อยู่ในคลาวด์ ยกเลิกการใช้กระดาษ paperless ให้เอไอทำงานจำเจแทน ลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
ทำได้ถึงตรงนี้จะเรียกว่า “Digitalization (เปลี่ยนเป็นดิจิทัล)” แต่ถ้าอยากพัฒนาไปไกลกว่านั้นถึงขั้นเป็น “Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล)” จะต้องมีธุรกิจเข้ามาด้วย
โดยเป้าหมายคือ การมี Users (ผู้ใช้) เพิ่มขึ้นพร้อมกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (good life) ปัจจุบันพบว่า Users จะอยู่บนแอปพลิเคชันต่างๆ ในสมาร์ตโฟน
บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซื้อขายออนไลน์ หรือดิลิเวอรีส่งอาหาร ส่งของ บนสตรีมมิงชมภาพยนตร์ ซีรีส์ละคร หรือฟังเพลง บนโซเชียลมีเดีย หรือรูปแบบออนไลน์อื่นๆ อีกในอนาคต
ดังนั้น การบอกว่าใช้เอไอทำงานแทนคน แล้วลดค่าใช้จ่ายกลับคืนมาเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น เป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น ต้องคิดนวัตกรรมต่อไปอีกว่าหลังจากลดค่าใช้จ่ายได้แล้ว จะเชื่อมโยงไปสู่การเกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ สร้างตลาดใหม่ๆ ได้อย่างไร
อย่างที่ธนาคารพาณิชย์ออกมาประกาศว่า หลังจากปรับให้มีอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนแล้ว จำนวนครั้งของการทำธุรกรรม (transaction) เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับการไปเคาน์เตอร์สาขา เขียนกระดาษเพื่อเบิกถอนเงิน
การนำเอไอและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ และนำไปสู่การเพิ่มจำนวนผู้ใช้ใหม่และรายได้ใหม่ต่างหาก ถึงเป็นดัชนีวัดความสำเร็จของ DX ในยุคนี้องค์กรทั่วโลกกำลังใช้ DX เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
นโยบาย DX ของญี่ปุ่นถือว่ามีเป้าหมายที่ชัดเจน และตรงกับเป้าหมายของไทยอย่างยิ่ง นั่นคือ การเพิ่มรายได้ เพราะไทยเองก็ติดกับดักรายได้ปานกลาง มีจีดีพีต่ำกว่า 3% เกินกว่าทศวรรษแล้ว รวมทั้งการใช้ AI แทนคน
เพราะสังคมสูงวัยก่อวิกฤติแรงงาน ภายในปี 2574 ไทยจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่มีผู้สูงอายุเกิน 21% ของประชากร ดังนั้น การมองญี่ปุ่นในปัจจุบัน จึงเหมือนมองไทยในอนาคต หลังกลับจากทริป Japan DX กับสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มธ. แล้ว จะมาเล่าให้ฟังต่อว่าญี่ปุ่นทำอะไรกันบ้างค่ะ
ดูทฤษฎีทุนมนุษย์และทฤษฎีสะกิด (Nudge) ได้ในหนังสือการบริหารดาวเด่นและเส้นทางสู่ผู้บริหารระดับสูงฯ