'รวบอำนาจ–ลิดรอนสิทธิ' ร่างกม.โซลาร์เซลล์ฉบับใหม่ ส่อขัดรัฐธรรมนูญ

จับตาร่าง กม.พลังงานแสงอาทิตย์ฉบับใหม่ ขัดมติ ครม. – ขัด รธน. หลังมือดีเขียน กม.รวบอำนาจให้ รมว.พลังงาน กำหนดการเชื่อมต่อระบบ สถานที่ติดตั้ง ประเภทกิจการ รวมทั้งอุปกรณ์เอง แถมให้อำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าเคหสถานตรวจโซลาร์เซลล์ได้ หวั่นใช้กม.กลั่นแกล้งสร้างความเสียหาย
ปัจจุบันประชาชนและภาคธุรกิจหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาหรือที่เรียกว่าโซลลาร์รูฟท็อปกันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าได้ ประกอบกับ ปัจจุบันต้นทุนการติดตั้งนั้นลดลงจากในอดีตทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนสั้นลงเหลือเพียง 6 – 8 ปีเท่านั้น
ขณะที่นโยบายของภาครัฐเองได้สนับสนุนให้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้นเพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ยังช่วยลดการพึ่งพิงไฟฟ้าในระบบทำให้ภาระการลงทุนระบบไฟฟ้าของภาครัฐลดลง การติดตั้งโซลาร์เซลล์ยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในประเทศให้เติบโต โดยข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ (ttb analytics) ระบุว่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปในไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาทและมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง
ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหา อุปสรรคในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอาคารและที่อยู่อาศัยของประชาชนและภาคธุรกิจมาโดยตลอดเห็นได้จากการแก้ปัญหาการขออนุญาตติดตั้งให้ง่ายขึ้น โดยตัดขั้นที่ไม่จำเป็นออก อาทิ การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) เหลือแค่การขออนุญาตที่จำเป็นเท่านั้น
ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568 ครม.ก็ได้เห็นชอบตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) โดยลดขั้นตอนเพื่อความสะดวกในการใช้พลังงานสะอาด และช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานให้บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service) ตั้งแต่การรับคำขอ การพิจารณา และออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน
ด้วยมติ ครม.ดังกล่าวนี้ถือเป็นข่าวดีของคนที่จะติดตั้งโซลลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพราะไม่ต้องลำบากไปขออนุญาตจากหลายหน่วยงานให้วุ่นวายเหมือนในอดีต ที่สำคัญนั้นก็จะไม่ต้องไปผ่านการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานราชการต่างๆ หรือผู้มีอำนาจเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต แนวคิดนี้ คปธ.ได้พิจารณาแล้วตรงกับแนวคิดและข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้การทำงานของภาครัฐ ราชการนั้นมีความคล่องตัวและทันสมัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายจะพยายามทำให้การขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของประชาชน และธุรกิจนั้นมีความคล่องตัวมีความสะดวกมากขึ้นแล้ว แต่เหมือนกับมีความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการรวบอำนาจในการอนุมัติ อนุญาต การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงการรื้อถอนแผงโซลาร์นั้นไปอยู่ในดุลยพินิจและการควบคุมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผ่านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .. ขณะนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความเห็นของประชาชน
ดังนั้น หากไปพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมายมาตราต่างๆที่อยู่ในร่าง พ.ร.บ.นั้นจะพบว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นการ “ส่งเสริม” การใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย แต่เหมือนจะเป็นการ “ขัดขวาง” ไม่ให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างแพร่หลายมากกว่า เพราะเนื้อหาของกฎหมายนั้นมีการลิดรอนสิทธิ์ของผู้ที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น กฎหมายมาตรา 3 ที่กำหนดว่าการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า จากที่อยู่อาศัย ของประชาชนหรือจากสถานประกอบการกับระบบโครงข่ายของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือองค์กรที่ “รัฐมนตรีประกาศกำหนด” ในเรื่องนี้หากปล่อยให้เป็นไปตามนี้ระบบไฟฟ้าของประเทศคงวุ่นวายไปอีก
เพราะโดยปกติโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศนั้นกำหนดโดย กพช.ไม่ใช่อำนาจของ รมว.พลังงาน ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศนั้นจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักคือ 3 การไฟฟ้า ได้แก่ กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หากรัฐมนตรีพลังงานจะมีอำนาจในการกำหนดองค์กรที่จะเข้ามาเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าได้ตามใจชอบ ระบบไฟฟ้าของประเทศก็มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดความเสียหายได้
นอกจากนั้น ร่างกฎหมายที่บิดเบี้ยวฉบับนี้ยังให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอีกหลายข้อที่เท่ากับการรวบอำนาจในการออกใบอนุญาตการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นให้อำนาจในการกำหนด “สถานที่ติดตั้ง” การประกาศลักษณะของ “ที่อยู่อาศัย” การประกาศลักษณะของ “สถานประกอบการ” แม้กระทั่ง “อุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์” รัฐมนตรีพลังงานก็ยังจะมีอำนาจในการกำหนดได้อีกว่าสิ่งใดเป็น หรือไม่เป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์
ไม่เพียงเท่านั้น ในร่างกฎหมายฉบับนี้ยังให้อำนาจรัฐมนตรีพลังงานสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนและสถานประกอบการ แล้วขายให้องค์กรหรือบุคคลที่รัฐมนตรีกำหนด อีกทั้ง ราคาซื้อขายก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งการให้อำนาจครอบคลุมเช่นนี้ อาจทำให้เกิดข้อกังขาตามมาว่า จะกลายเป็นช่องให้มีการ “ตั้งโต๊ะ” หรือ “เรียกรับผลประโยชน์” ได้หรือไม่ ใครที่อยากซื้อหรือขายไฟ อาจต้อง “จ่ายค่าผ่านทาง” ก่อนผ่านอำนาจรัฐมนตรีที่กุมระบบอยู่เพียงคนเดียว ทั้งที่ในระบบพลังงานควรต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีกลไกที่เป็นธรรมมากกว่านี้
ดังนั้น หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านออกไปมีผลบังคับใช้ทุกขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์ของธุรกิจและประชาชน ต้องไปขออนุญาตหรือรอประกาศที่จะออกมาโดยรัฐมนตรีพลังงานทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าร่างพ.ร.บ.นี้ขัดต่อมติ ครม.ที่ได้กำหนดให้ดำเนินการเรื่องนี้รวดเร็วขึ้นโดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐออกไป
อีกทั้ง กฎหมายฉบับนี้ยังขัดกับกฎหมายสูงสุดของประเทศอย่างกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ด้วย เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ...นี้ได้มีการกำหนดไว้ด้วยว่าให้อำนาจกับเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ที่รมว.พลังงาน แต่งตั้งสามารถเข้าไปในเคหสถานรวมถึงบ้านพักได้ หากมีการแจ้งเหตุว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.นี้กำหนด
ปัญหาที่จะตามมาก็คือ อาจมีการใช้กฎหมายนี้ในการกลั่นแกล้งแจ้งความเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนโซลาร์เซลล์ได้โดยดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจได้อย่างเสรี จนเกินขอบเขตและเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ ซึ่งการที่กฎหมายเปิดช่องให้มีการบุกรุกเข้าไปในอาคารและเคหะสถานได้นี้ย่อมขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคล แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็นการลิดรอนหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวลงทำให้กฎหมายฉบับนี้ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือจงใจที่พยายามจะผลักดันกฎหมายลักษณะนี้ออกมา แต่หากกฎหมายนี้ผ่านไปแล้วมีการฟ้องร้องเป็นคดีความภายหลัง คนที่เดือดร้อนคงไม่ใช่แค่มือร่างกฎหมาย แต่อาจจะเป็นครม.ทั้งคณะ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีด้วยที่ต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดในครั้งนี้







