เกมการเมืองบีบ ‘ศก.ไทย’ วิกฤติหนัก!

เกมการเมืองบีบ ‘ศก.ไทย’ วิกฤติหนัก!

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้(27พ.ค.) ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ระหว่างวันร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,159 จุด ลดลงไปราว 18.82 จุด ก่อนจะรีบาวด์เล็กน้อยมาปิดตลาดที่ระดับ 1,163 จุด ลดลง 15.01 จุด หรือ 1.27% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 34,845 ล้านบาท  สาเหตุที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ไว้ คือ ขาดปัจจัยใหม่มาสนับสนุนการลงทุน แต่ลึกๆ แล้วสำหรับคนที่อยู่ในแวดวงนี้มานานจะรู้ดีว่า “หุ้นไทย” มีแต่ “ข่าวร้าย” รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะเวลานี้ที่ “สองพรรคการเมืองใหญ่” ห้ำหั่นกันแบบไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชนตาดำๆ 

ช่วงหลายสัปดาห์มานี้เราจะเห็น “โบรกเกอร์” ไม่ว่าจะสัญชาติไทยหรือต่างประเทศ ออกบทวิเคราะห์เตือนถึงสถานการณ์การเมืองไทยที่ “ไม่ปกติ” และกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจที่หนักอยู่แล้วให้สาหัสมากขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA เตือนว่า การลงทุนในประเทศไทยมีความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะท่ามกลางความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2568

ล่าสุดวานนี้ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ออกบทวิเคราะห์เตือนนักลงทุนของตัวเองเช่นกัน โดยระบุว่า การตอบโต้กันไปมาระหว่าง “สองพรรคใหญ่” คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่ง CGSI ประเมินว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดของการเมืองไทย ณ เวลานี้ คือ การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการยุบสภาจะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องรอไปอีก 6 เดือน 

ลองคิดดูว่าหากปัญหาการเมืองนำไปสู่การยุบสภาจริง เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่ไทยต้องรอเจรจาเรื่อง “ภาษีการค้า” กับรัฐบาลสหรัฐ หากเราไม่มีรัฐบาลที่ชัดเจน ไม่มีตัวแทนหลักว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจฝั่งไทยในการเจรจา แล้วแบบนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ หรือแม้แต่ “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ จะยอมเจรจากับไทยหรือไม่ เพราะเจรจาไปก็ไม่มีผู้มีอำนาจใจการตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร

ไม่อยากคิดว่า ในช่วงเวลาที่ “ไทย” ต้องเจรจาต่อรองภาษีตอบโต้กับทางสหรัฐ เพื่อจะไม่โดนเรียกเก็บในอัตรา 36% ในขณะที่รัฐบาลประเทศอื่นๆ เจรจาได้ผลต่อรองเป็นที่เรียบร้อย เศรษฐกิจและการลงทุนของไทยในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ยิ่งช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่า “เครื่องยนต์” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกำลังแผ่วลงทุกเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน หรือแม้แต่การท่องเที่ยว เศรษฐกิจไทยที่ป่วยเรื้อรังคงได้กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้งอย่างแน่นอน!