ไทย ‘นำเข้าจีน’ พุ่งประวัติการณ์ เร่งช่วงพักรบ 90 วัน จับตา ‘เครื่องจักร - เครื่องใช้ไฟฟ้า’

ไทยนำเข้าสินค้าจีน เม.ย.พุ่ง 8.8 พันล้านดอลลาร์ สูงเป็นประวัติการณ์ รวม 4 เดือน ขาดดุลการค้าจีน 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ “หอการค้า” ชี้ไทยเร่งนำเข้าวัตถุดิบ หนีความไม่แน่นอนนโยบายทรัมป์ “ซีไอเอ็มบีไทย” ชี้ขาดดุลจีนปัญหาเรื้อรัง “อีไอซี” จับตาขาดดุลจีนน่าห่วง “พาณิชย์” มั่นใจ เจรจาภาษีสหรัฐทัน 90 วัน
KEY
POINTS
Key Point
- เดือนเม.ย.ไทยส่งออกไปตลาดจีน มูลค่า 3,549 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.2%นำเข้าสินค้าจีน 8,820 ล้านดอลลาร์ รายเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ ทำไทยขาดดุลการค้า 5,271 ล้านดอลลาร์
- คาดความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ ทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนสูง
- CIMBT คาดการณ์ส่งออกทั้งปีจะเติบโตเพียง 2-3%
- การส่งออกเดือนเม.ย.ขยายตัว 10.2%
- พาณิชย์” มั่นใจเจรจาสหรัฐ ถกภาษีทรัมป์ทันกรอบ 90 วัน
ไทยขาดดุลการค้าจีนต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 45,364 ล้านดอลลาร์ สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ไทยขาดดุลการค้าจีน 19,232 ล้านดอลลาร์ โดยไทยนำเข้าสินค้าจากจีน 31,564 ล้านดอลลาร์
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า การส่งออกไปตลาดจีนเดือนเม.ย.2568 มูลค่า 3,549 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วขยายตัว 3.2% และนำเข้า 8,820 ล้านดอลลาร์ เป็นการนำเข้าสินค้าจีนรายเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ รวมแล้วไทยขาดดุลการค้า 5,271 ล้านดอลลาร์
รวม 4 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกไปจีน 12,331 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 31,564 ล้านดอลลาร์ ขาดดุลการค้า 19,232 ล้านดอลลาร์
เมื่อดูรายละเอียดการนำเข้าจากจีน 5 อันดับแรก ในเดือนเม.ย.2568 ไทยนำเข้าหลายรายการสูงขึ้น โดยนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ มูลค่า 1,667 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 110.6% รองลงมาเป็นเครื่องจักรกล และส่วนประกอบ 848.2 เพิ่มขึ้น 37.8%
เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 658.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.6% , เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 506.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35.1% และเคมีภัณฑ์ 496.8 ล้านดอลลาร์ ลดลง 11.0%
ชี้ไทยเร่งนำเข้าวัตถุดิบจีน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า การนำเข้าจากจีนที่สูงมากอาจมาจากการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเพื่อการส่งออก โดยความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ผู้นำเข้าเร่งนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออก ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะต่อเนื่องถึงเดือนพ.ค.นี้
ในขณะที่การส่งออกไปจีนลดลงอาจมาจากการส่งออกผลไม้ไปจีนลดลง ซึ่งเป็นผลจากสภาพอากาศทำให้ผลผลิตลดลง โดยประเมินว่าครึ่งหลังปี 2568 หรือหลังจาก 90 วัน ที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีทั่วโลกแล้ว จะมีความชัดเจน ขณะนี้ความไม่ชัดเจนทำให้ทุกประเทศต้องเร่งนำเข้าวัตถุดิบขั้นต้นจำนวนมาก
สำหรับการส่งออกของไทยปี 2568 ต้องรอดูว่าภายใน 1 เดือนจากนี้สหรัฐจะตอบรับการเจรจาอย่างไร ซึ่งสหรัฐเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยมีสัดส่วนถึง 19% อีกทั้งหากสหรัฐเก็บภาษีอัตราไม่เท่ากันทั่วโลกจะกระทบซัพพลายเชน และทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐถูกเก็บภาษีมากกว่าคู่แข่ง
ไทยขาดดุลจีน “ปัญหาเรื้อรัง”
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT กล่าวว่า แม้การส่งออกของไทยในเดือนเม.ย. จะขยายตัวแรงกว่า 10% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่อย่าเพิ่งวางใจกับตัวเลขที่ดูสดใส เพราะภาพรวมทั้งปีอาจไม่ได้สดใสอย่างที่คิด
โดยการส่งออกที่ขยายตัวแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน และพฤติกรรมของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐที่เร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการทางการค้าจะมีผลช่วงกลางปี แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมระดับโครงสร้างพบว่ายังมีความเปราะบาง
“เรายังเห็นปัญหาเดิมคือ การนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับสูง และส่งออกที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศ หรือไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ก็อาจไม่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าไทยบางส่วนยังเป็นเพียงการส่งผ่าน หรือ zero value-added export คือ ไทยเป็นเพียงจุดพักหรือจุดส่งออกต่อ โดยไม่มีการผลิตหรือเพิ่มมูลค่าในประเทศ สะท้อนการเชื่อมโยงต่ำกับภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ดังนั้น คาดการณ์ส่งออกทั้งปีจะเติบโตเพียง 2-3% เท่านั้น แม้ 4 เดือนแรกส่งออกจะเติบโตเกิน 10% จากฐานที่สูงในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวช้าลง
สิ่งที่ห่วง และถือเป็นปัจจัยเสี่ยงคือ ค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปลายไตรมาส 2 ทำให้ผู้ส่งออกไทยเผชิญความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น และอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในภาวะที่คำสั่งซื้อเริ่มชะลอตัว
“อีไอซี” ชี้ขาดดุลจีนน่าห่วง
นางสาวฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน, Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเด็นไทยขาดดุลการค้าจีนน่าเป็นห่วง โดยหลังจากจีนเจรจากับสหรัฐได้แล้วผลบวกต่อไทยจะลดลงด้วยเช่นกัน ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา การส่งออกของจีนมาสหรัฐหดตัว แต่การส่งออกไปตลาดอื่นค่อนข้างมาก ถือว่าจีนกระจายตลาดได้เร็ว
สำหรับแนวโน้มส่งออกไทยช่วงที่เหลือปี 2568 โดยเฉพาะครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงการส่งออกหดตัวสูง โดยการส่งออกเดือนเม.ย.2568 ขยายตัว 10% สูงกว่าที่คาดไว้เป็นช่วงที่ไทยเร่งการส่งออกช่วงสหรัฐชะลอขึ้นภาษีนำเข้า 90 วัน ซึ่งการส่งออกไทยมีทิศทางชะลอตัว
“ขึ้นกับไทยจะเจรจาต่อรองขึ้นภาษีสหรัฐได้มากหรือน้อยกว่าประเทศคู่ค้าหรือคู่แข่งไทย จะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนช่วงเดือนก.ค. เป็นต้นไป ซึ่งครึ่งปีหลังจะเป็นผลกระทบจริงว่าส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เหมือนพายุกำลังมา ตอนนี้เป็นภาพเร่งนำเข้าในช่วงครึ่งปีหลังเข้ามาในช่วง 4 เดือนแรก”
ทั้งนี้ เดิม EIC คาดการณ์ส่งออกไทยปี 2568 ติดลบ 0.4% ภายใต้สหรัฐเก็บภาษีไทยรวม 23% จากภาษีที่เพิ่มขึ้น 10% และการต่อรองภาษี 36% ลดลงมาเหลือ 23% ได้เทียบเท่ากับประเทศคู่ค้า และคู่แข่งอื่นแต่แนวโน้มส่งออกไทยปีนี้คาดมีโอกาสหดตัวสูงกว่าคาด
4 เดือนแรกไทยนำเข้าแสนล้านดอลลาร์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค.กล่าวว่า การส่งออกเดือน เม.ย.ที่ขยายตัว 10.2% มาจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 16.6 % ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณี และเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) แผงสวิตช์ และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด ทั้งนี้ 4 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 18.7%
ส่งออกสินค้าเกษตรลบ 19.6%
ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 8.4% โดยสินค้าเกษตรหดตัว 19.6% หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 9.1% กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า
สำหรับสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป น้ำตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ไขมัน และน้ำมันจากพืช และสัตว์ และผลไม้กระป๋อง และแปรรูป
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ข้าว อาหารทะเลกระป๋อง และแปรรูป และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งนี้ 4 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 2.3%
ตลาดส่งออกสหรัฐพุ่ง 23.8%
สำหรับตลาดส่งออกสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยยังคงมีปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากการเร่งส่งออกท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐ โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลักอย่างสหรัฐที่ขยายตัวสูง หลังการเลื่อนเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนออกไปอีก 90 วัน (จนถึง 9 ก.ค.68)
ทั้งนี้ ตลาดหลัก ขยายตัว 12.7% ประกอบด้วย ตลาดสหรัฐ ส่งออกขยายตัว 23.8% มีมูลค่า 5,040 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 1,785 ล้านดอลลาร์ ได้ดุลการค้า 3,256 ล้านดอลลาร์ รวม 4 เดือน ของปี 2568 ส่งออกมูลค่า 20,848 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 6,853 ล้านดอลลาร์ ได้ดุลการค้า 13,994 ล้านดอลลาร์
ขณะที่การส่งออกตลาดญี่ปุ่น ขยายตัว 5.5% , สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ขยายตัว 6.1% , อาเซียน (5 ประเทศ) ขยายตัว 7.8% และ CLMV ขยายตัว 25.2%
ครึ่งปีหลังเผชิญความเสี่ยงสูง
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกไตรมาส 2 จะขยายตัวดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1 แต่ตอบไม่ได้ว่าจะยังเป็น 2 digit หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐเป็นสำคัญ ซึ่งหากไทยถูกเรียกเก็บอัตราเทียบเท่าประเทศคู่แข่งจะกระทบไม่มาก
ส่วนจะมีการทบทวนเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้จากที่กำหนดไว้ 2-3% หรือไม่นั้น คงต้องรอดูการส่งออกสินค้าในไตรมาส 2 ก่อน รวมทั้งต้องหารือกับภาคเอกชนด้วย
ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในปี 2568 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐที่อาจถูกเรียกเก็บภายหลังพ้นจากช่วงเวลาที่ได้รับการยกเว้น 90 วัน
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้ประชุมหารือกันอย่างต่อเนื่องในการเตรียมพร้อมแนวทางการเจรจาการค้ากับสหรัฐ และวางแผนออกมาตรการเยียวยาเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ
มั่นใจเจรจาภาษีทรัมป์ทันกรอบ 90 วัน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเจรจาภาษีกับสหรัฐมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายใน 90 วัน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่านโยบายส่งออกในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และจะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
"ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคเศรษฐกิจไทย แม้ในช่วงที่ผ่านมา มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐแต่การส่งออกเดือนเม.ย.ยังเติบโตถึง 10.2% หลายฝ่ายเคยคาดว่าภาษีจากสหรัฐจะทำให้ส่งออกไทยตกฮวบ แต่ตัวเลขพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง เรายังโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ขยายตัวถึง 23.8% และโตต่อเนื่องมาแล้ว 19 เดือนติดต่อกัน” นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตามตลาดสำคัญอื่นขยายตัวเช่นกัน อาเซียนขยายตัว 7.8% ต่อเนื่อง 2 เดือน เอเชียใต้ 8.7% ต่อเนื่อง 7 เดือน สหภาพยุโรป 6.1% ต่อเนื่อง 11 เดือน ญี่ปุ่น 5.5% ต่อเนื่อง 2 เดือน และจีน 3.2% ต่อเนื่อง 7 เดือน
ส่วนตลาดยุโรปนั้น กระทรวงพาณิชย์เตรียมเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยจะเข้าพบกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า นายมารอส เซฟโควิช รวมถึงพบปะกับ OECD เพื่อผลักดันให้การเจรจาสำเร็จเร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการค้าของไทยในตลาดยุโรปได้อย่างมาก
“การส่งออกยังคงเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยแม้ในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี 2568 การส่งออกไม่เติบโตเพิ่มเติมเลย ไทยยังรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยได้มากกว่า 4% ซึ่งมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และหากสามารถเจรจากับสหรัฐให้ไทยได้รับอัตราภาษีในระดับเดียวกับประเทศอื่น ก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้อีกมาก” นายพิชัย กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







