"สรท."พบ"พิชัย” ดันยุทธศาสตร์ให้ไทยก้าวสู่ชาติการค้า ขอเร่งเจรจาภาษีทรัมป์

สรท.เข้าหารือ”พิชัย นริพทะพันธุ์” ขอให้ผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศสู่ชาติการค้า ตั้งคณะทำงานปฏิรูปโครงสร้างการค้าและการลงทุน มีนายกฯนั่งเป็นประธาน พร้อมเร่งเจรจาภาษีสหรัฐ วางจุดยืนไทยเป็นกลาง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมาตนได้นำคณะผู้บริหารสรท.เข้าพบนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้บริหารกระทรวง เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทยจากความท้าทาย ซึ่งปัจจุบันเกิดจากความผันผวนและคาดการณ์ได้ยากของเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายทางภาษีและมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนมาตรการทางการค้าใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงบทบาทของประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกรายใหญ่ ปัญหาโลกเดือด ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัวทั้งภายในและภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย สรท. ได้นำเสนอประเด็นสำคัญเพื่อการผลักดันการส่งออกอย่างยั่งยืน ซึ่งสรท.เสนอให้รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศสู่ชาติการค้า (Trading Nation Long-Term Strategy) โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นชาติพัฒนาแล้วภายในปี 2032
พร้อมทั้งเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานปฏิรูปโครงสร้างการค้าและการลงทุน (คปค.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งนายพิชัย เห็นพ้องข้อเสนอของ สรท. พร้อมทั้งยินดีร่วมมือในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบ และยินดีช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ของ สรท. เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ในส่วนของแนวทางการเร่งแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บ Reciprocal Tariff ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของการส่งออกไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดย สรท. มีข้อเสนอที่สำคัญประกอบด้วย เร่งพิจารณาข้อเสนอสำหรับการเจรจาที่สอดคล้องกับความคาดหวังของสหรัฐอเมริกา โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย เร่งเดินหน้าด้านการตลาดเพื่อกระจายสินค้าไทยไปยังตลาดอื่นทั่วโลก
รวมถึงเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักจากสงครามการค้า ซึ่งต้องมีการทำแผนภาพความต้องการสินค้าสำคัญ หรือ Product champion ของประเทศไทย กับตลาดเป้าหมายทุกแห่งที่มีความต้องการสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้มีการเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ เร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป และรวมเปิดการเจรจากับตลาดสำคัญอื่น อาทิ เม็กซิโก และลาตินอเมริกา นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญและเพิ่มความเข้มงวดในการ
บังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศ เพิ่มการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าเพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศ เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสินค้าผ่านแดน สินค้าถ่ายลำ
การใช้สิทธิประโยชน์ในเขตปลอดอากร (Freezone) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้าไทยไปยังประเทศที่ 3 และ ยกระดับความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Regional Comprehensive Partnership) ในการหารือกับสหรัฐอเมริกา และประเทศศักยภาพอื่น เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มากขึ้น
นายธนากร กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูง และสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกายังคงสูงถึง 81-82% ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีท่าทีและรักษาระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อให้เกิดความสมดุลและเป็นมิตรกับทุกฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า อาทิ การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ในลักษณะของประเทศผู้สังเกตการณ์เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างการเจรจากับสหรัฐ







