'เทพรัตน์' ส่งไม้ต่อผู้ว่าฯ กฟผ.คนใหม่ ย้ำ! ไฟฟ้ามั่นคง - ราคาถูก

'เทพรัตน์' ส่งไม้ต่อผู้ว่าฯ กฟผ.คนใหม่ ย้ำ! ไฟฟ้ามั่นคง - ราคาถูก

"เทพรัตน์ เทพพิทักษ์" ผู้ว่าฯ กฟผ. ชูวิสัยทัศน์ "ไฟฟ้ามั่นคง ราคาเป็นธรรม" พร้อมส่งไม้ต่อผู้ว่าฯ คนใหม่ ย้ำ! ผลประโยชน์ชาติสำคัญสูงสุด พร้อมเล็งขยายระบบไฟฟ้าออกนอก EEC

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนที่ 16 กล่าวว่า กลุ่ม.กฟผ.พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่เสนอแผนเจรจากับสหรัฐเรื่องการลงทุน และการรับซื้อก๊าซ LNG เพื่อสร้างสมดุลการค้า อย่างไรก็ตาม หลักการที่สำคัญคือ แม้ กฟผ.พร้อมรับก๊าซฯ แต่ก็ต้องเป็นราคาประมูลแข่งขันเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุดเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกับที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากไทยก็อยู่บนพื้นฐานต้นทุนราคาแข่งขันได้กับประเทศอื่น

สำหรับแนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคตถือว่ามีโอกาสที่จะมีราคาต่ำกว่างวดปัจจุบัน (พ.ค.- ส.ค.2568) ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย จากทิศทางราคาเชื้อเพลิงอ่อนแอลง สวนทางกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่ กฟผ.รับภาระเชื้อเพลิงให้ประชาชนปัจจุบันได้ทยอยลดลงมาอยู่ที่ราว 71,000 ล้านบาท จากเดิมกว่า 1.5 แสนล้านบาท

นายเทพรัตน์ กล่าวว่า กฟผ.ถือเป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลประชาชนทั้งค่าไฟ และการนำเงินส่งรัฐ โดยปี 2565 หาก กฟผ.ไม่ร่วมรับต้นทุนค่าไฟราว 1.5 แสนล้านบาท ค่าไฟฟ้าจะกระโดดไปถึง 7-8 บาทต่อหน่วย ดังนั้น ในภาพรวมแล้วหาก.กฟผ.มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นก็จะสามารถสร้างประโยชน์แก่ภาครัฐได้เพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะเป็นเครื่องมือดูแลประชาชนเพิ่มขึ้นต่อไป

สำหรับการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าถือเป็นหัวใจหลักที่ 3 การไฟฟ้าพูดคุยแลกเปลี่ยนทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และในทุกครั้งที่ได้ร่วมหารือร่วมกันกับสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็จะยืนยันถึงความเป็นห่วงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจากข้อมูลพบว่าในการลงทุนใหม่ที่กระจุกตัวมากในพื้นที่อีอีซีควรที่จะกระจายไปพื้นที่การลงทุนอื่นๆ ที่มีความต้องการไฟฟ้าโครงการใหม่ถึง 1 หมื่นเมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ราว 5 พันเมกะวัตต์ ที่เป็นโครงการดาต้าเซนเตอร์งถึงกว่า 20 ราย 

"ทั้ง 3 การไฟฟ้า เป็นห่วงเรื่องความเสี่ยงหากที่อาจเกิดปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรืออุบัติเหตุใดๆ ต่อระบบการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่อีอีซีในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตของภาคอุตสาหกรรมได้"

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นห่วงถึงแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ในอนาคตที่วางแผนจะใช้พลังงานทดแทนกว่า 50% โดยในส่วนนี้จะต้องวางแผนให้ดี เพราะมีตัวอย่างในสเปนที่มีการใช้พลังงานทดแทนถึง 60% จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั้งประเทศเมื่อปลายเดือนเม.ย.2568 ที่ผ่านมา สร้างความกังวลให้กับทุกภาคส่วน และกระทบต่อประชาชนในทุกพื้นที่อย่างหนัก ซึ่งประเทศไทยก็ได้นำมาเป็นกรณีศึกษา และวางมาตรการป้องกันเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดในอนาคต

"ตอนนี้สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยยังไม่เยอะ และมีรีเสิร์ฟมาร์จินที่เพียงพออยู่ แต่ในอนาคตเมื่อต้องคำนึงถึงพลังงานสะอาดที่จะต้องเข้ามาอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) การเตรียมพร้อมในระบบไฟฟ้าจึงต้องสำคัญ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้งานทุกภาคส่วน" 

เมื่อให้นายเทพรัตน์ ฝากถึง ผู้ว่าการ กฟผ. ท่านใหม่ที่อยู่ระหว่างสรรหาฯ นั้น นายเทพรัตน์ กล่าวว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้ว่าฯ กฟผ. เมื่อสวมหมวกหรือกรีดเลือดมาจะต้องทำหน้าที่ให้สมบทบาท โดยผู้ว่าฯ ทุกยุคทุกสมัยของ กฟผ. สิ่งหนึ่งที่ต้องทำ และจะต้องส่งมอบต่อๆ ไป คือ ต้องมองภาพรวมของประเทศเป็นหลัก แม้ว่า กฟผ. จะบาดเจ็บไปบ้างแต่ประเทศชาติต้องได้ประโยชน์ ถือเป็นสิ่งที่ผู้ว่าฯ ทุกยุคต้องส่งต่อ 

ดังนั้น เมื่อตนจะทำหน้าที่ผู้ว่าฯ ครบวาระวันที่ 31 ก.ค.2568 จะต้องเตรียมส่งมอบแนวความคิดนี้ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ กฟผ. ประเทศชาติก็จะต้องได้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่สำคัญ แม้ว่าอายุการทำงานในตำแหน่งอาจไม่นานนัก จึงขอตอบคำถามมากมายในสิ่งที่ได้ทำในหลายสิ่งแล้วหรือยัง ซึ่งจริงๆ แล้วความตั้งใจในการทำงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ มีมากมายแต่ด้วยความที่มารับตำแหน่งช้า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ และคิดว่ายังทำไม่สำเร็จ ซึ่งอย่างน้อยๆ ได้พยายามใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว 

"เร็วๆ นี้อาจจะมีข่าวดีเกี่ยวกับ กฟผ. โดยเฉพาะเป้าหมายของประเทศเพื่อให้มีไฟฟ้าที่มั่นคง ราคาที่แข่งขันได้ ค่าไฟต้องถูกลงกว่านี้ แต่จะดีกว่านี้แค่ไหนอาจจะต้องร่วมด้วยช่วยกันในหลายบทบาท กฟผ.แค่เป็นหนึ่งในกลไกของรัฐ ดังนั้น ประเทศไทยคงต้องมีโรงไฟฟ้าที่เป็นของรัฐมากขึ้น"

ทั้งนี้ กฟผ.ดำเนินการผลิตไฟฟ้าทั้งดูแลค่าไฟฟ้าควบคู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนำเงินส่งรัฐ 50% ของผลกำไรจนล่าสุดปี 2568 นี้ สามารถสร้างสถิติถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำเงินส่งรัฐเป็นอันดับที่ 1 ทั้งที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในตลาดเพียง 29% เท่านั้น 

ในขณะเดียวกันภาครัฐยังควบคุมผลตอบแทนรายได้ของ 3 การไฟฟ้า กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุนเพื่อการดำเนินงาน (ROIC) ไม่เกิน 5% หากเกินอัตรานี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะใช้เงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) จาก 3 การไฟฟ้า มาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าซึ่งเห็นได้ชัดค่าไฟฟ้างวดนี้ ซึ่งถูกเรียกประมาณ 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17 สตางค์ของหน่วย
 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์