‘แพทองธาร’ เหลือเวลา 2 ปี ภารกิจฟื้นเศรษฐกิจ

สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นสภาผู้แทนราษฎรชุดที่เริ่มนับวาระตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2566 นับเวลาถึงปัจจุบันผ่านมาแล้ว 2 ปี และเหลือระยะเวลาอีก 2 ปี สอดคล้องกับอายุรัฐบาลที่ผูกติดกับอายุของสภาผู้แทนราษฎร โดยการเลือกตั้งครั้งล่าสุดพรรคเพื่อไทยได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 แต่พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จึงเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการเจรจาหาพรรคสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาจนสำเร็จ
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือน ส.ค.2566 แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งทำให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย รวมแล้วรัฐบาลเพื่อไทยบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วเกือบ 2 ปี และเหลือระยะเวลาในการทำหน้าที่อีกประมาณ 2 ปี หากไม่มีเหตุที่ทำให้เกิดการสะดุดทางการเมือง ระยะเวลา 2 ปี ถือว่าไม่มากไม่น้อยสำหรับการขับเคลื่อนประเทศที่กำลังเผชิญผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า
น.ส.แพทองธาร กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อเศรษฐกิจโลกถูกท้าทายจากนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งสหรัฐได้ผ่อนปรนมาตรการภาษีครั้งใหญ่ออกไป 90 วัน หรือครบกำหนดในวันที่ 7 ก.ค.2568 เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศยื่นข้อเสนอให้กับสหรัฐ รวมถึงประเทศไทยที่ยื่นข้อเสนอไปแล้วและมีการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ แต่ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาระดับรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าข้อเสนอของประเทศไทยจะได้รับคำชมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ
สิ่งที่ น.ส.แพทองธาร ต้องวางแผนรับมือไม่ได้มีเฉพาะผลกระทบเฉพาะหน้าจากสงครามการค้า แต่รัฐบาลปัจจุบันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมองถึงการขับเคลื่อนประเทศในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ภาคการผลิตเกษตรกรรม รวมถึงภาคบริการมีขีดความสามารถการแข่งขันลดลงที่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและงบประมาณ ที่ผ่านมาจึงได้ยินเสมอถึงการถูกประเทศเวียดนามแซงหน้าไทย
ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ที่เหลือของรัฐบาลแพทองธาร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหนักทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่า 2% ในขณะที่การยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งครอบคลุมทั้งการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ จึงทำให้ 2 ปี ที่เหลือของรัฐบาลแพทองธารต้องเดินหน้าให้เต็มที่







