‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดส่งออกอุตฯ 2 แสนล้าน สศอ.เร่งปรับโครงสร้าง 9 กลุ่ม

"ภาษีทรัมป์" ฉุดส่งออกอุตฯ 2 แสนล้าน สศอ.เร่งปรับโครงสร้าง 9 กลุ่ม สศอ. มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชัดเจนหลังจากช่วง ก.ค.2568 คาดว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าไทย10-20%
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 68 จากการขึ้นภาษีกับไทย 36% จะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงราว 2 แสนล้านบาท ทำให้อัตราการขยายตัวของ GDP ภาคอุตสาหกรรมลดลง 1.02%
- สศอ.คาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัว 1.5-2.5% แต่จากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐคาดว่าการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมจะลดลงจากเดิม โดยจะปรับประมาณการ GDP อีกครั้งในเดือน พ.ค. 68
- ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 69 คาดว่าเติบโตใกล้เคียงกับปัจจุบันสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมจากความเข้มแข็งภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนจากภาครัฐ
ประเทศไทยเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน ในการเจรจากับสหรัฐ เพื่อหาข้อสรุปการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ออกมาประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางการรับมือผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากการที่สหรัฐประกาศมาตรการทางภาษีตอบโต้การนำเข้าสินค้าเมื่อเดือน เม.ย.2568 ไทยถูกจัดเก็บ 36% แม้ว่าสหรัฐเลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน เพื่อให้เจรจาจึงคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการกำหนดนโยบายการค้าของไทยจะชัดเจนหลังจากช่วงเดือน ก.ค.2568 โดยมองว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าไทย 10-20%
เบื้องต้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณการว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอาจทำให้ GDP ปี 2568 ขยายตัวน้อยกว่า 2.5% โดยอุตสาหกรรมไทยจะได้รับผลกระทบเนื่องจากภาคการลงทุนและการส่งออกชะลอตัว
นอกจากนี้ อาจต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศอื่นที่ส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลงเช่นเดียวกับไทย และหันมาส่งออกไปตลาดเดียวกับไทย ทำให้สินค้าราคาถูกเข้ามายังไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทย ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง
ส่วนภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2568 จากผลกระทบการขึ้นภาษีกับไทย 36% จะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงราว 2 แสนล้านบาท ทำให้อัตราการขยายตัวของ GDP ภาคอุตสาหกรรมปี 2568 ลดลง 1.02%
ทั้งนี้ เบื้องต้นเดือน ก.พ.2568 สศอ.คาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัว 1.5-2.5% แต่จากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐคาดว่าการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมจะลดลงจากเดิม สศอ.จะปรับประมาณการ GDP อีกครั้งในเดือน พ.ค.2568
นายภาสกร กล่าวว่า ปัจจัยและตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการคาดการณ์ MPI คือ 1.มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทย 2.ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม 3.ดัชนีต้นทุนแรงงานต่อหนึ่งหน่วยการผลิต 4.ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน 5.ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 3 เดือนข้างหน้า
6.มูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการ 7.มูลค่าการส่งออกรวมของประเทศคู่แข่งที่มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรม 8.ปริมาณการจ้างงาน (จำนวนผู้มีงานทำ) 9.จำนวนโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการ 10.จำนวนการผลิตรถยนต์
สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ล่าสุด พบว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 ดัชนี MPI อยู่ระดับ 99.96 หดตัว 1.86% ส่วนดัชนี MPI ไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 101.86 หดตัว 2.81%
อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) เดือน มี.ค.2568 อยู่ที่ 63.68% โดย CapU เฉลี่ยปี 2567 (12 เดือน) อยู่ที่ 58.97% และ CapU เฉลี่ย 3 เดือนแรกปี 68 อยู่ที่ 60.92%
“ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2569 คาดว่ายังคงเติบโตอัตราใกล้เคียงกับปัจจุบันสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมจากความเข้มแข็งภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนจากภาครัฐ แต่ต้องเฝ้าระวัง อาทิ นโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ, สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเกิดภัยพิบัติ”
สำหรับความท้าทายที่ สศอ.กำลังเผชิญ คือ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพิงการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสาขาหลักในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการนำรายได้เข้าประเทศ การจ้างงานและการลงทุนในประเทศ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยขึ้นกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายนอก
นอกจากนี้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจะให้ความสำคัญกับการปรับอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการโลก เช่น สินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมแปรรูปขั้นต้นที่มีมูลค่าไม่สูง รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่โลกต้องการ โดยส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ยกระดับการพัฒนาตลอด Supply Chain
นายภาสกร กล่าวว่า สศอ.กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 9 สาขา ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญคิดเป็นสัดส่วน 70% ของ GDP ภาคการผลิต
ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากความสำคัญและบทบาทของอุตสาหกรรมที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ พิจารณาจากมูลค่าเพิ่ม ด้านการจ้างงาน พิจารณาจากจำนวนการจ้างงานแต่ละอุตสาหกรรม ด้านความสามารถการแข่งขันและการสร้างรายได้ให้กับประเทศพิจารณาจากมูลค่าการส่งออก ด้านการพึ่งพิงวัตถุดิบในประเทศพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ ได้แก่
1.อุตสาหกรรมยานยนต์ จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (Product Champion) ที่ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตอยู่เดิม เช่น รถกระบะ 1 ตัน และรถ ECO Car และในระยะต่อไปจะส่งเสริมการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ เช่น รถยนต์ไฮบริด (HEV และ Mild HEV) เพื่อให้เกิดการลงทุน และรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศ
รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
2.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติก จะมุ่งส่งเสริมการใช้และเชื่อมโยงมาสู่การผลิตพลาสติกชีวภาพ ได้แก่ พลาสติกที่ผลิตจากพืช แป้ง โปรตีนจากถั่ว ข้าวโพดข้าวสาลี มันฝรั่ง มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งมุ่งเน้นการใช้พลาสติกรีไซเคิล เพื่อตอบโจทย์ Trend ด้านสิ่งแวดล้อม และตอบรับการเป็น Supply Chain ของอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องมือแพทย์
3.อุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ในการผลิตสินค้า เช่น เคมีภัณฑ์ อาหาร ยา อาหารสัตว์ บรรจุภัณฑ์ โดยใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบการเกษตรมาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าินค้าเกษตร ซึ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพและโอลิโอเคมีคอล เช่น เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ยาชีววัตถุ เพื่อต่อยอดเกษตรมูลค่าสูงสู่อุตสาหกรรมอนาคตที่ยั่งยืน
4.อุตสาหกรรมอาหาร จะมุ่งเน้นการพัฒนากลุ่มสินค้าอาหารพื้นฐานที่เป็นความมั่นคงทางอาหารและกลุ่มสินค้าอนาคต (Future Food) เช่น อาหารสุขภาพและอาหารฟังก์ชั่น หรือ อาหารที่สอดรับกับโภชนาการส่วนบุคคล รวมถึงอาหารโปรตีนทางเลือก เช่น แมลง โปรตีนจากพืช
5.อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ที่ใช้กับโรคที่มีผู้ป่วยจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง โดยหากพิจารณากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) 5 อันดับแรกในประเทศไทย (ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคและสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตเรื้อรัง
6.อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะการ จะสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กไทย และมุ่งสู่การผลิตเหล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Steel โดยมุ่งผลิตเหล็กเส้น เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กท่อ เหล็กลวด และเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป
7.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ จะมุ่งส่งเสริมให้มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดต้นทุนแรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงส่งเสริมกิจการออกแบบและพัฒนาระบบอัตโนมัติ
8.อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะมุ่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำและเทคโนโลยีขั้นสูงในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (IC) และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และ Data Center รวมทั้งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเดิมให้มีมูลค่าสูงและเทคโนโลยีสูงขึ้น เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็นแบบประหยัดพลังงาน
9.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม จะมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและคำนึงถึงความยั่งยืน โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
- ต้นน้ำ (เส้นใย เส้นด้าย) ได้แก่ Technical Fiber and Yarn และ Recycle Fiber and Yarn
- กลางน้ำ (ผ้าผืน ฟอก ย้อม พิมพ์ ตกแต่งสำเร็จ) ได้แก่ Technical Textile และ Green or Eco-Friendly Textile
- ปลายน้ำ (เครื่องนุ่งห่ม และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง) ได้แก่ Fashion brand, Clothing for Silver Generation, Sportwear และ Eco-friendly Fashion
ขณะนี้จัดทำมาตรการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหาร ซึ่งคาดว่าเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาใน 2 เดือนนี้ โดยหลัง ครม.เห็นชอบ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะจัดสรรงบประมาณของตนเองในการขับเคลื่อนมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขาทั้ง 9 สาขา เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ กำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนมาตรการทางด้านภาษี
“หากอุตสาหกรรมยานยนต์บรรลุเป้าหมาย ไทยจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่สำคัญของโลก ประชาชนจะมีรถยนต์ที่มีคุณภาพ สะอาด ประหยัด และปลอดภัย ช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ได้ เกิดการจ้างงาน ขยายตัวตามทิศทางการพัฒนาของโลก”







