‘ธนารักษ์’ เดินกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าที่ราชพัสดุ ชูจัดเก็บรายได้ปี 68 ทะลุเป้า

ครบรอบ 92 ปี "ธนารักษ์" ขับเคลื่อนกลยุทธ์มุ่งเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ชูผลงานจัดเก็บรายได้ในปี 2568 ทะลุเป้า 1.1 หมื่นล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ มีบทบาทสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินของแผ่นดิน ทั้งด้านที่ราชพัสดุ การประเมินราคาทรัพย์สิน เหรียญกษาปณ์ และทรัพย์สินมีค่าของรัฐ ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสวันสถาปนากรมธนารักษ์ครบรอบ 92 ปี วันที่ 23 พ.ค.2568 เพื่อให้การดำเนินงานสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีดิจิทัล
กรมธนารักษ์ได้ยกระดับการทำงานทั้งระบบ พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ใหม่ที่มุ่งเน้นการ "เพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน" และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2568 กรมธนารักษ์ได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้จำนวน 11,000 ล้านบาท และด้วยการยกระดับการทำงานตามยุทธศาสตร์ใหม่ ทำให้ในช่วง 7 เดือนแรก (ต.ค. 2567 – เม.ย. 2568) กรมธนารักษ์สามารถจัดเก็บและนำส่งรายได้ได้สูงถึง 10,649 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของประมาณการรายได้ทั้งปี ซึ่งสูงกว่าประมาณการถึง 8.54%
ทั้งนี้ นอกจากการจัดเก็บรายได้แล้ว กรมธนารักษ์ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
โดยในปี 2568 กรมธนารักษ์กำลังพัฒนาโครงการต้นแบบต่างๆ ผ่านกลยุทธ์การสร้างคุณค่า (VALUE) 5 ด้าน ประกอบด้วย
1.มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่า (V-Value) ที่ราชพัสดุ ด้วยการจัดทำ Master Plan พัฒนาพื้นที่แบบองค์รวม โดยมีโครงการนำร่อง "นครนายกโมเดล" เป็นพื้นที่ต้นแบบ
2.เพิ่มความแม่นยำในการประเมินราคา (A-Appraise) ที่ดิน โดยพัฒนาฐานข้อมูลให้สอดคล้องกับราคาตลาดและเป็นธรรม ตั้งเป้าลดความต่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดเหลือไม่เกิน 15% ภายในปี 2569 พร้อมพัฒนาระบบสืบค้นราคาประเมินที่ดินออนไลน์เพื่อความสะดวก
3.เพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์ (L-Legacy) ให้เหรียญกษาปณ์และพิพิธภัณฑ์ของกรมธนารักษ์ ด้วยการยกระดับการผลิตและจำหน่ายเหรียญให้ได้มาตรฐานสากล พัฒนาตลาดรองสำหรับนักสะสม และนำแนวคิด ESG มาใช้ในกระบวนการผลิต พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์และอนุรักษ์วัฒนธรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน
4.มุ่งเน้นความเป็นหนึ่งเดียว (U-Unity) ของบุคลากร ส่งเสริมให้ "คนธนารักษ์" เป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นทั้งในเรื่องงานปัจจุบันและทักษะแห่งอนาคต ผ่านโรงเรียนธนารักษ์ออนไลน์
5.เพิ่มประสิทธิภาพ (E-Efficiency) การทำงานและการให้บริการประชาชน ด้วยการนำกระบวนการทำงานแบบ Agile และเทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มายกระดับการทำงาน
อธิบดีกรมธนารักษ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ยังมีโครงการต้นแบบอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินงานของกรมธนารักษ์เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติในทุกมิติ







