ภาษีใหม่เพื่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ปัจจัยท้าทายเป้าหมายการคลัง 'ยั่งยืน'

ภาษีใหม่เพื่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ปัจจัยท้าทายเป้าหมายการคลัง 'ยั่งยืน'

ภาษีใหม่เพื่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ปัจจัยท้าทายขับเคลื่อนเป้าหมาย "การเติบโตอย่างยั่งยืน" โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

การเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นเป้าหมายสำคัญของทุกประเทศ แต่ในปัจจุบัน ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่การสร้าง "การเติบโตอย่างยั่งยืน" ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงเกินไปในระยะยาว

รวมทั้งมีความสามารถในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการคลังของประเทศไว้ได้ท่ามกลางความท้าทายของโลกที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ทั้งวิกฤติสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินขีดจำกัด และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ขยายวงกว้าง

ทั้งนี้ นโยบายการคลัง ซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการรายได้ผ่านการจัดเก็บภาษี และกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

การใช้จ่ายภาครัฐเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการลงทุนขนาดใหญ่ มักนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณและการก่อหนี้สาธารณะ หากไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดีจะเป็นภาระต่อการคลังในอนาคต ลดพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในภายภาคหน้า หรือแม้กระทั่งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการคลังของประเทศ

ล่าสุด สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody's ได้เปิดเผยรายงานเมื่อเดือนเม.ย. 2568 ระบุว่า ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมองเชิงลบ (Outlook to Negative) แม้ว่าจะยังคงสถานะปัจจุบันที่ Stable ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของไทยที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อภาระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งเป็นความเสี่ยงการคลังในอนาคต

ดังนั้น โจทย์ที่สำคัญคือการหาสมดุลระหว่างการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการเติบโตกับการรักษาวินัยทางการคลังเพื่อความยั่งยืนด้านหนี้

แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น แต่ นโยบายการคลัง อาจไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเสมอไป การออกแบบระบบภาษีที่ก้าวหน้า การใช้จ่ายภาครัฐในด้านบริการสาธารณะพื้นฐานที่มีคุณภาพ และการมีตาข่ายรองรับทางสังคมที่แข็งแกร่ง เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุม (Inclusive Growth) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของความยั่งยืน

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง กำลังอยู่ระหว่างทำแผนปฏิรูปการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่ เพื่อเสนอให้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาภายในปีงบประมาณ 2568 นี้ ทั้งนี้ จะครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร ภาษีสรรพสามิต ตลอดอากรนำเข้าศุลกากร โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพีให้เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันการจัดเก็บรายได้รัฐอยู่ที่ 12-13% ของจีดีพี เพิ่มเป็น 18% ของจีดีพี

"ในแผนการปฏิรูปภาษีหากสามารถเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 5% จะทำให้คลังมีรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นได้อีก 800,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณ และทำให้สามารถจัดทำงบประมาณสมดุลได้เร็วขึ้น โดยถือเป็นเรื่องท้าทาย ที่เราจะต้องเร่งทำ" นายลวรณ เน้นย้ำ

ภาษีสรรพสามิตใหม่รองรับความยั่งยืน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า ภาษีสรรพสามิต นอกจากจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญลำดับที่ 2 ของรัฐบาล ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนั้น กรมสรรพสามิตจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการภาษีสรรพสามิตที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเก็บภาษีคาร์บอนในผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ออกแบบให้มีอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทเชื้อเพลิงที่เชื่อมโยงกับปริมาณการปล่อยคาร์บอน ซึ่งในระยะแรกจะเป็นการเก็บจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันเดิมและไม่กระทบต่อราคาขายปลีกผู้บริโภค

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนภารกิจของกรมฯ ในการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เป็นความท้าทายต่อเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปี 2568 โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างอัตราภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศ 

"แม้ว่าการเก็บภาษีรถอีวีจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ช่วยกระตุ้นให้ตลาดอีวีจุดติดในประเทศ ประชาชนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคตามทิศทางที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน ซึ่งก็ต้องแลกมากับฐานภาษีรถยนต์ที่หายไป" อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว

ภาษีใหม่เพื่อสังคม-สิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการศึกษาและผลักดันการขยายฐานการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อันตรายต่อสุขภาพ และสินค้าบาป ภายในปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายที่เม็ดเงินในการจัดเก็บรายได้เป็นสำคัญ อาทิ

ภาษีความเค็ม (Sodium Tax) อยู่ระหว่างการศึกษาประเภทสินค้าและการกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บ โดยจะนำร่องสินค้าที่ไม่มีจำเป็นในการดำรงชีวิตและมีปริมาณโซเดียมสูง เช่น ขนมขบเคี้ยว โดยจะเป็นอัตราภาษีแบบขั้นบันไดเพื่อให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว โดยจะเป็นภาษีที่ต้องการมุ่งเน้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งมองว่าจะช่วยลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ในระยะยาว 

ภาษีแบตเตอรี่ จะมีการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่จำเป็นต้องมีการใช้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาอัตราภาษีตามเกณฑ์ ดังนี้

  • ค่าความหนาแน่นพลังงาน (Energy Density) หรือประจุไฟฟ้าต่อน้ำหนัก คือ แบตเตอรี่ที่ประจุไฟฟ้าสูงยิ่งมีน้ำหนักเบาจะยิ่งมีอัตราภาษีต่ำ
  • รอบการอัดประจุไฟฟ้า (Lifecycle) ยิ่งแบตเตอรี่มีรอบการชาร์จมากก็จะมีอัตราภาษีต่ำ

การฝ่าฟันโจทย์ใหญ่เหล่านี้รัฐบาลจำเป็นต้องมีการวางแผนทางการคลังที่รอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวต่อทุกมิติของความยั่งยืน มีการสร้างกลไกการบริหารจัดการ

สรรพากรเตรียมเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บ VAT

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ถือเป็นภาษีที่สำคัญและเป็นเสมือนพระเอกของกรมสรรพากร ซึ่งในส่วนนี้มีพื้นที่ให้ทำในเรื่องของการจัดเก็บได้อีกมาก โดยภาษีมูลค่าเพิ่มมีการจัดเก็บอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาทต่อปี แต่เมื่อลงไปดูแล้วยังจัดเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ซึ่งกรมสรรพากรมีการพูดคุยกันว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจะเน้นเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ ภาษี VAT ถือว่ามีความสำคัญเป็นรายได้อันดับ 1 ที่กรมฯ จัดเก็บ ซึ่งกรอบกฎหมายได้กำหนดว่าสามารถขึ้นภาษีได้สูงสุดถึง 10% แต่ที่ผ่านมาเราคงไว้ที่ 7% โดยไม่ได้ปรับขึ้นเลย จะมีการขึ้นแค่ครั้งเดียวตอนที่เข้า IMF โดยแนวทางการปรับขึ้น VAT จะมีหรือไม่ต้องดูนโยบายของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องนี้