สภาพัฒน์ ชี้ไทยติดกับดัก 'ส่งออกเพิ่ม-ผลิตลด' อุตสาหกรรมไม่ฟื้น

แม้การส่งออกของไทยจะกลับมาขยายตัวได้แต่การผลิตไทยไม่โต สะท้อนขาดการเพิ่มมูลค่าและการผลิตในประเทศ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมหดตัว สภาพัฒน์แนะเร่งเพิ่ม Local Content
KEY
POINTS
- แม้ว่าการส่งออกขยายตัวแต่การผลิตไทยชะลอตัว ปี 2567 การส่งออกไทยโต 5.8% แต่ภาคอุตสาหกรรมยังหดตัวต่อเนื่อง เป็นสัญญาณว่าอุตสาหกรรมไทยผลิตเพื่อส่งออกน้อยลงหรือพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
- ผลกระทบจากจีนและสหรัฐฯ: การแข่งขันด้านราคาจากสินค้านำเข้าจีน และมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME
- มูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น: สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากในประเทศ (Domestic Value-Added) ลดลง ขณะที่สัดส่วนจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- สภาพัฒน์ชี้ว่ารัฐควรส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) อย่างน้อย 40% ในกลุ่มที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI และเร่งพัฒนาเทคโนโลยี-นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผู้ประกอบการไทย
การส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) กว่า 70%
โดยปกติแล้วหากการส่งออกมีการขยายตัวมากการผลิตในประเทศก็จะเพิ่มขึ้น ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้กับสวนทาง เพราะแม้การส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้นแต่ภาคการผลิตของไทยยังคงอ่อนแอสะท้อนปัญหาเชิงโครงการสร้างการผลิตที่ขาดการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศเพื่อส่งออก
จากข้อมูลเรื่อง "มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกสินค้าไทย: กับดักและความท้าทายทางเศรษฐกิจ" ที่จัดทำโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการส่งออก โดยเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรมซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมาโดยตลอด
ส่งออกโตได้แต่การผลิตในประเทศกลับหดตัว
อย่างไรก็ตาม สัญญาณล่าสุดที่ปรากฏกลับสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในปี 2567 แม้มูลค่าการส่งออกจะสามารถขยายตัวได้ถึง 5.8% แต่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการส่งออกสินค้าไม่ได้ขับเคลื่อนผ่านภาคการผลิตในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
สศช.ชี้ว่าสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของการผลิตในหมวดยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2568 แม้มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้สูงถึง15% แต่การผลิตอุตสาหกรรมกลับเติบโตเพียง 0.6% ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการฟื้นตัวอย่างไม่สมดุลระหว่างภาคการค้าและการผลิต
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่าในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักโดยในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 60.93% แม้จะสูงกว่า 57.72% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่า 61.05% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตของไทยในไตรมาสที่ผ่านมามาจากการเร่งการนำเข้าของประเทศสหรัฐฯก่อนที่จะมีการครบกำหนดการผ่อนคลายเก็บภาษีนำเข้า ทำให้มีการเร่งผลิตเพื่อส่งออก ทำให้การใช้กำลังการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแค่การเพิ่มขึ้นแค่ชั่วคราว
โดยในไตรมาสที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการผลิตสำคัญ 30 รายการ มีอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการใช้กำลังการผลิตสูงกว่า 80% จำนวน 3 รายการ ได้แก่ การผลิตน้ำตาล 101.86% การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม 89.39% และการผลิตพลาสติกและยาง สังเคราะห์ขั้นต้น 81.54% ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตที่มีการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่า 50.00% จำนวน 9 รายการ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก 49.35% การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง 49.34% และการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน 48.25%
ทั้งนี้ในรายงานของ สศช.ยังระบุว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา รวมถึงการไหลเข้ามาของสินค้าจากจีนในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและสินค้าชั้นกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกกว่าอย่างรุนแรง
โดยในรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลมูลค่าเพิ่มทางการค้า (Trade Value-Added) โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตหลายภูมิภาค (MRIO) ชี้ให้เห็นว่าในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศ (Domestic Value-Added) จากการส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ในขณะที่สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศ (Foreign Value-Added) โดยเฉพาะจากประเทศจีน กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในบางกลุ่มอุตสาหกรรมไทยกลับพึ่งพามูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งของกระบวนการผลิต ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์เคมี โลหะพื้นฐาน และเครื่องจักรกล
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยที่ยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเพียงพอภายในประเทศ ทั้งยังมีแนวโน้มต้องพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขาดความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ภายใต้บริบทดังกล่าว ภาครัฐจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับนโยบายที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากปัจจัยการผลิตภายในประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทบทวนสิทธิประโยชน์ที่มอบให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ทอัพ พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ในอัตราที่ไม่น้อยกว่า 40% สำหรับโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการประยุกต์นวัตกรรมในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุน และยกระดับประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมในประเทศ อันจะนำไปสู่การเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่มภายในประเทศจากการส่งออกสินค้าอย่างยั่งยืน







