G-Token เจาะกลุ่มผู้ออมรุ่นใหม่ สบน.ชี้ดอกเบี้ยสูงกว่าพันธบัตร

G-Token เจาะกลุ่มผู้ออมรุ่นใหม่ สบน.ชี้ดอกเบี้ยสูงกว่าพันธบัตร

สบน.เตรียมออกหนังสือชี้ชวน G-Token วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้าน ภายใน 45 วัน ถือเป็นรายแรกของโลกในการออกโทเคนดิจิทัล คาดผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อยเนื่องจากต้นทุนต่ำกว่าปกติ ตอบข้อสงสัย ธปท.ชำระเงินไม่ได้ ยืนยันระบุเป็นไปตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ พร้อมอิง พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล

KEY

POINTS

  • สบน.เตรียมออกหนังสือชี้ชวน G-Token วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้าน ภายใน 45 วัน ถือเป็นรายแรกของโลกในการออกโทเคนดิจิทัล
  • คาดผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อยเนื่องจากต้นทุนต่ำกว่าปกติ
  • ตอบข้อสงสัย ธปท.ชำระเงินไม่ได้ ยืนยันระบุเป็นไปตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ พร้อมอิง พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล

ในโลกการเงินยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เสนอการออก “โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล” หรือ Government Token (G-Token) ซึ่งผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเมื่อวันที่ 13 พ.ค.2568 นับเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ออกโทเคนดิจิทัลลักษณะนี้

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “กรุงเทพธุรกิจ Deep Talk” เกี่ยวกับรายละเอียดของการออก G-Token ว่า เป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่ใช้ในการกู้เงินจากประชาชน โดย สบน.คำนึงว่าประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการกู้เงินของรัฐ นับเป็นการลงทุนและออมเงินที่มีความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนที่มั่นคง ขณะเดียวกันรัฐบาลเองได้มีการพัฒนานวัตกรรมการเงินในการบริหารเงินกู้ให้สอดรับกับทิศทางของโลกในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวว่า การลงทุนใน G-Token มีความเสี่ยงต่ำเช่นเดียวกับพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล และดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 ข้อ คือ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำกับดูแลการออกและเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

อีกทั้ง เป็นการกู้เงินในกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามกรอบปกติ และเป็นไปตามข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ 2548 มาตรา 10 กำหนดให้การกู้เงินตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้จะทำเป็นสัญญหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่ ครม.อนุมัติ 

 

หวังเจาะกลุ่มคนออมรุ่นใหม่

ขณะที่ G-Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลหรือโทเคนดิจิทัล ซึ่งแสดงสัญลักษณ์แทนพันธบัตรที่รัฐบาลกู้เงินจากประชาชน โดยอยู่ในระบบเทคโนโลยีดิจิทัลที่เรียกว่า ‘บล็อกเชน’ และเข้าถึงได้ผ่าน Wallet โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักลงทุนที่ติดตามพันธบัตรออมทรัพย์ และประชาชนทั่วไปที่ต้องการออมเงินอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำงานและคนรุ่นใหม่ ซึ่ง G-Token ช่วยลดต้นทุนของภาครัฐและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระบบดิจิทัล

ซึ่งลักษณะข้างต้นเป็นความแตกต่างของ G-Token กับพันธบัตรออมทรัพย์ที่เปิดขายผ่านแอปเป๋าตัง วอลเล็ต สบม. สะสมบอนด์มั่งคั่ง หรือผ่านธนาคารพาณิชย์ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย ที่ยังมีงานเอกสารและงานทะเบียนในระบบหลังบ้านที่ทำให้การเปลี่ยนมือยุ่งยากกว่า

“การออก G-Token เป็นการสร้างองคาพยพของเทคโนโลยีดิจิทัล G-Token ที่มีการซื้อขายบนบล็อกเชน ซึ่งมีไอดีและข้อมูลผู้ซื้อระบุชัดเจนเมื่อมีการเปลี่ยนมือ ซึ่งช่วยให้ตลาดตราสารหนี้มีความคล่องตัวมากขึ้น และยังมีความมั่นคงสูงเนื่องจากเป็นของรัฐบาล” นายพชร กล่าว

ทั้งนี้ การออก G-Token เป็นการกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ไม่ได้เป็นการกู้เพิ่มเติมเพื่อทำโครงการใหม่ โดยวงเงินเริ่มต้นไม่เกิน 5,000 ล้านบาท และระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบหลังจากหารือกับสำนักงาน ก.ล.ต.

คาดผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร

นอกจากนี้ คาดว่าอัตราผลตอบแทนของ G-Token จะสูงกว่าดอกเบี้ยตลาดและพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่าการกู้เงินปกติที่มีค่าดำเนินการตามเกณฑ์ ธปท.ที่ 0.03% ต่อวงเงินกู้ โดยคาดว่าจะออก G-Token ได้ภายในเดือน ก.ย.2568 และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนภายใน 45 วัน

“ในวันจันทร์นี้ ก.ล.ต.จะเปิดรับฟังความคิดเห็น (hearing) จากนักลงทุนและผู้มีส่วนร่วมในตลาดตราสารหนี้เป็นเวลา 15 วันและจะมีการออกหนังสือชี้ชวนภายใน 45 วัน ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ชัดเจน”

ยืนยัน G-Token ชำระหนี้ไม่ได้

สำหรับข้อเสนอแนะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แนะนำให้ทำเป็น Pilot Project ก่อนนั้น นายพชร กล่าวว่า วงเงิน 5,000 ล้านบาทถือว่าเป็นวงเงินขนาดเล็กเมื่อเทียบกับการกู้เงินปกติ ซึ่งจากวงเงินกู้ชดเชยขาดดุลงบประมาณทั้งหมด 8.657 แสนล้านบาท จะกู้โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ราว 1 แสนล้านบาท

“ยืนยันว่า การออก G-Token ต้องเป็นไปตามกฎหมายและไม่ใช่เงินตรา อีกทั้งไม่สามารถชำระหนี้ได้ หากต้องการเปลี่ยนมือต้องเปลี่ยนเป็นเงินก่อน และระบบที่ใช้มีความปลอดภัยภายใต้ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล”

ทั้งนี้ G-Token อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เพราะเป็นโทเคนดิจิทัลไม่ใช่ตราสารหนี้ การตีความกฎหมายเป็นไปตามขั้นตอน โดยกฎหมายหนี้สาธารณะเปิดช่องให้กู้เงินด้วยวิธีอื่นได้ แต่ต้องผ่านการอนุมัติจาก ครม.ข้อกังวลเรื่องการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา แต่การควบคุมตลาดรองทำได้ยากเพราะเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล

ราคาตลาดรองขึ้นกับดีมานด์

สำหรับราคา G-Token ในตลาดรองขึ้นอยู่กับ Demand และ Supply แต่มีมูลค่าของตัวเองและกรอบเวลาที่ชัดเจน มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น สถาบันการเงินและกองทุนมักจะซื้อ G-Token เนื่องจากมีความมั่นคงสูง ตลาดพันธบัตรของไทยมีสัญญาณที่ดีมาก โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติที่มองว่าประเทศไทยมีความมั่นคงด้านการเงินการคลัง

นายพชร กล่าวต่อว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยมั่นใจว่ายังคงมีผลตอบรับที่ดีจนถึงสิ้นปีงบประมาณ อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยในอนาคตไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก ทั้งนี้มองว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การส่งออกและการผลิตอาจจะไม่ดีนักซึ่งต้องเข้าไปช่วยดูแล

นอกจากนี้ พัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB)  สำหรับโครงการลงทุนที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศและโลก โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการกู้ยืมของรัฐบาล และมีความมั่นคงในการลงทุน ซึ่งนอกจาก G-Token จะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์คู่ขนานไปด้วยภายในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีการออกไปแล้ววงเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท

“สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนผ่าน G-Token นั้นถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ยังมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดในหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุน” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย