‘กอบศักดิ์’ แนะไทยคว้าโอกาสรอบ 10 ปี ดึงต่างชาติลงทุนอัพเกรดศก.

"ประเทศไทยกำลังยืนอยู่หน้าคลื่นการลงทุนรอบใหม่ที่อาจมีเพียงครั้งเดียวในทศวรรษ หากคว้าไว้ได้ จะเป็นจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจทั้งระบบ—แต่หากพลาด อาจต้องรออีกหลายสิบปี"
KEY
POINTS
- กอบศักดิ์ ภูตระกูล ชี้ “บุญเก่า” ทางเศรษฐกิจไทยกำลังหมด ต้องสร้าง “บุญใหม่” อุตสาหกรรมแบบเดิมกำลังตกยุค
- ประเทศไทยต้องเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเชิงปริมาณสู่เศรษฐกิจคุณภาพ เน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
- ชี้เป็นโอกาสไทยในรอบ 10 ปีที่คลื่นการลงทุนใหม่กำลังมุ่งสู่อาเซียน หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ จะสามารถดึงดูดการลงทุนมหาศาลในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
- หัวใจอยู่ที่ “คนไทย” และการกล้าปรับนโยบาย: การพัฒนาทักษะแรงงานไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันภาครัฐต้องกล้าปฏิรูประบบ กฎหมาย และราชการให้เอื้อต่อการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล และผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยุคใหม่ของภูมิภาค
ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วและไม่แน่นอน ประเทศที่สามารถปรับตัวและคว้าโอกาสได้ก่อนย่อมได้เปรียบอย่างมหาศาล ขณะนี้ประเทศไทยกำลังยืนในช่วงระยะเวลาที่สำคัญ ของการลงทุนระดับโลกที่ยังคงเคลื่อนย้ายมายังเอเชีย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบหลายสิบปี และอาจเป็นเพียงครั้งเดียวในทศวรรษที่จะเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างแท้จริง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ “การลงทุนภาครัฐและเอกชน: กุญแจสู่การเติบโตของ GDP ไทย” ในงาน Dinner Talk “กระตุก GDP ไทยด้วยกองทุน ววน.” จัดโดย สำนักยุทธศาสตร์แผน ติดตามและประเมินผล สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)ว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตช้าลง ขณะที่อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเคยภาคภูมิใจว่าเราเป็นผู้นำกำลังตกยุค เหมือน"บุญเก่า" ทางเศรษฐกิจกำลังหมดลง ความสามารถในการแข่งขันที่มีอยู่เดิมไม่เพียงพออีกต่อไป หากไม่มีการปรับเปลี่ยนคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามก็จะมีขนาดเศรษฐกิจที่แซงไทย
แนะเร่งสร้างบุญใหม่เศรษฐกิจไทย
สิ่งที่จำเป็นในวันนี้คือการลอกคราบ ปลดล็อกศักยภาพ และเร่งสร้าง “บุญใหม่” ผ่านนโยบาย กลไกการลงทุน และการพัฒนาคนไทยให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจยุคถัดไป
ในวันนี้โอกาสของประเทศไทยยังพอมีความหวังเพราะคลื่นการลงทุนที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่อาเซียนครั้งนี้มีขนาดมหาศาล และถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ภูมิภาคนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของเงินทุนจากทั่วโลก การไหลของทุนกำลังเปลี่ยนทิศจากจีนมาสู่อินเดียและอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ โอกาสครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลข แต่คือจุดเปลี่ยนของประเทศทั้งระบบ
การลงทุนในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นถึง 20%
ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบข้อมูลล่าสุดว่า ทุกประเทศในอาเซียนมีเงินลงทุนจากโลกสูงถึง 17% และยังไม่ใช่ตัวเลขที่สูงที่สุด เพราะจากการประเมินของบีโอไอ พบว่า ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นถึง 20% และมากกว่านั้น ซึ่งเงินที่ไหลเข้ามาในอาเซียนครั้งนี้ นับเป็นการโอกาสรอบใหม่ในการสร้างกลุ่มอุตสาหกรรม และเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ในอนาคต
นอกจากนี้ข้อมูลจากบีโอไอยังระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนชัดถึงกระแสคลื่นนี้ ประเทศไทยมีจำนวนโรงงานเพิ่มขึ้นถึง 20% และการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 97% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น BCG (Bio-Circular-Green Economy) รถยนต์ประหยัดพลังงาน แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของไทยในระยะยาว
แนะสร้างระบบนิเวศเอื้อลงทุน
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่าการลงทุนภาครัฐและเอกชนต้องเดินไปด้วยกัน รัฐต้องกล้าเปลี่ยนแปลง เปิดประเทศ ปฏิรูปกฎหมายและระบบราชการล้าสมัย
สร้างระบบนิเวศใหม่ที่เอื้อต่อการลงทุน พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ สนามบิน โลจิสติกส์ และระบบดิจิทัล ให้ทันสมัยและตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต ขณะเดียวกันภาคเอกชนต้องกล้าลงทุนในสิ่งใหม่ ไม่ยึดติดกับโมเดลเดิม กล้าสร้างโรงงานแห่งอนาคต และลงทุนกับคนไทยรุ่นใหม่ที่พร้อมรับมือกับเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
ทั้งนี้จากการแข่งขันกันอย่างมากของประเทศต่างๆ ในอนาคตเราไม่สามารถพึ่งพาเครื่องยนต์ท่องเที่ยวได้อย่างเดียวต้องสร้างคนที่ทำงานกับเทคโนโลยี เปลี่ยนคนให้สอดรับ เอกชนต้อลงทุนกับสิ่งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น รัฐบาลต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือ สนามบิน ทุกอย่างจะเสริมนโยบายวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ให้ไทยมีพลังที่จะทะลุทะลวงสิ่งที่กีดขวางเราไว้ โดยการเพิ่มโอกาสของไทยในการช่วงชิงการลงทุน ต้องเสริมจุดแข็งเดิมและสร้างระบบนิเวศใหม่ เช่น สร้างบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมใหม่ พลังงานสะอาด โครงสร้างพ้นฐาน ห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปกฎระเบียบ และเร่งขยาย FTA เพื่อเปิดตลาดใหม่และลดการพึ่งพาตลาดเดิม
“หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ “คน” ประเทศไทยต้องเร่งสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูง ทั้งในด้านเทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อรองรับห่วงโซ่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งรวมถึงพลังงานสะอาด ดิจิทัล สตาร์ทอัพ และเทคโนโลยีขั้นสูง หากประเทศสามารถสร้างคนให้ตอบโจทย์นี้ได้ จะเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”
โอกาสสำคัญลงทุนไทยในรอบ 10 ปี
เขาระบุด้วยว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยคว้าโอกาสจากคลื่นนักลงทุนญี่ปุ่นในยุค 80s จนกลายเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในอาเซียน แต่คลื่นลูกนั้นได้ผ่านไปแล้วอย่างยาวนาน วันนี้คลื่นลูกใหม่มาถึงอีกครั้ง หากไทยสามารถปรับตัว เปิดใจ และกล้าก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ประเทศจะสามารถทะลุเพดานของการพัฒนา และยืนหยัดท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกได้อีกครั้ง
โดยหากไทยพลาดรอบนี้ โอกาสหน้าที่จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจอาจต้องรออีกหลายทศวรรษ วันนี้คือจังหวะที่ต้องเร่งเดินหน้า ปรับตัวให้ทัน และคว้าโอกาสไว้ให้ได้ ประเทศไทยยังมีศักยภาพ แต่ศักยภาพเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากไม่ลงมือเปลี่ยนแปลง
ดร.กอบศักดิ์ย้ำด้วยว่านี่คือ “เวลาที่ดีที่สุดของไทยในรอบ 10 ปี” และมันกำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราต้องคว้าไว้ให้มั่น ก่อนที่ประเทศอื่นจะคว้าโอกาสนี้ไปแทน







