SCGC ปรับทัพเตรียมพร้อมปิโตรเคมีขาขึ้น รุกสินค้ามูลค่าสูง

SCGC ปรับทัพเตรียมพร้อมปิโตรเคมีขาขึ้น รุกสินค้ามูลค่าสูง

SCGC ปรับกลยุทธ์เชิงรุก รับมือตลาดปิโตรเคมีขาลงจากภาวะโอเวอร์ซัพพลายในจีน ชูสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหอกสร้างการเติบโตระยะยาว พร้อมเร่งเดินหน้าโครงการ LSPE คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 70 ระบุเหตุผลที่ต้องชะลอเดินเครื่อง LSP ในเวียดนาม เหตุราคาไม่จูงใจ

ช่วงที่ผ่านมาตลาดปิโตรเคมีทั่วโลกเผชิญภาวะขาลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากโควิด-19 ที่กระทบอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกรุนแรง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น ยานยนต์ ก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์ลดลง

รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรุนแรงขึ้นได้สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น และยังซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบราคาพลังงานและวัตถุดิบทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเผชิญความท้าทาย

SCGC ปรับทัพเตรียมพร้อมปิโตรเคมีขาขึ้น รุกสินค้ามูลค่าสูง

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ตลาดปิโตรเคมีอยู่ภาวะทรงตัวเห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 ถึงไตรมาส 1 ปี 2568 

ทั้งนี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งผลบวกช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเพราะอาจเปลี่ยนแปลงนโยบายได้

“ที่ผ่านมามีผู้ผลิตหลายรายลดกำลังการผลิตลงเพราะมีต้นทุนสูงทำให้ Spread ไม่ลดต่ำกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ช่วงต่ำสุดแล้ว ซึ่งทุกครั้งเมื่อขาขึ้นจะได้กำไรเยอะ หากรวมการลงทุนใหม่จะถึงขั้นขาดทุน หลายสำนักเป็นห่วงว่ารอบนี้จะยาวไกลขนาดไหนเพราะไม่เหมือนทุกครั้ง”

SCGC ปรับทัพเตรียมพร้อมปิโตรเคมีขาขึ้น รุกสินค้ามูลค่าสูง

อีกทั้งจากความผิดปกติจะเห็นว่าปี 2019 จีนเปลี่ยนกฎให้เอกชนลงทุนปิโตรเคมีได้จากเดิมที่เป็นอุตสาหกรรมควบคุม ซึ่งทำให้ผลิตทดแทนการนำเข้า ซึ่งจีนนำเข้าปิโตรเคมีจีนสูงจึงเป็นอุตสาหกรรมหลักที่เปิดให้หาพันธมิตรลงทุนเพิ่ม

 

ทั้งนี้เมื่อเกิดโควิดปี 2020 จากความต้องการใช้พลาสติกและพอลิเมอร์แทนที่จะไต่ระดับขึ้นแต่หักหัวลงเพราะคนอยู่บ้าน เมื่อดีมานด์ตกและซัพพลายล้น แต่โรงงานจีนต้องสร้างต่อหลังประกาศแผนลงทุนแล้ว

ปรับแผนธุรกิจสู้ปิโตรเคมีขาลง

ดังนั้น การลงทุนเริ่มออกดอกผลตั้งแต่ปี 2023 ปัจจุบันกำลังผลิตพุ่งมาถึง 20 ล้านตัน เกิดโอเวอร์ซัพพลายมากกว่าทุกครั้งต่อเนื่องตั้งแต่จากปลายปีที่แล้ว ทั้งนี้ SCGC ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างโอกาสการเติบโตต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่

1. การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI

2. เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer)

3.เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร

4.การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงานปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันราคาสินค้าถูกและต้นทุนพลังงานพุ่งจากสงครามรัสเซียกับยูเครนทำให้ชะลอเดินเครื่อง

“การจะกลับมาเดินเครื่อง LSP ตัดสินใจทุกวันว่าจะขึ้นโรงงานจะต้องดูว่าอีโคโนมิกได้และขายได้ แต่ถ้าคิดว่าเดินเครื่องผลิตแล้วแย่กว่าเดิมก็หยุดไปก่อน จากแผนที่ต้องเดินเครื่องผลิตเมื่อปีที่แล้วจึงต้องมองสถานการณ์ตลาดเพราะไม่คิดว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีขนาดนี้”

ทั้งนี้ ต้นปี 2568 ได้ดำเนินการ 3 ภารกิจหลัก ได้แก่ 1.การลงนามสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก 2.การลงนามสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทีน (VLECs) จำนวน 5 ลำ และ 3.การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570

เร่งพัฒนาสินค้าเพิ่มมูลค่า

สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยพัฒนานวัตกรรมต่อเนื่อง เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะเห็นว่าแม้ช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงแต่กลุ่มสินค้า HVA ได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาค

นอกจากนี้ SCGC เร่งพัฒนาพอลิเมอร์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (SCGC Green Polymer) ซึ่งผ่านรับการรับรอง Global Recycled Standard ซึ่งใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูงพร้อมการพัฒนาสูตรเฉพาะเพื่อตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย เช่น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

“SCGC ขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างโอกาสเติบโตและขยายฐานลูกค้า อาทิ ธุรกิจ Industrial Service Solutions โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีดูแลเครื่องจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน DRS by REPCO NEX (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรเป็นรายแรกของโลก 

ส่วนแผนระยะยาว SCGC จะลดการกู้เงิน ซึ่งการใช้เงินทุนหมุนเวียนน้อยลงจะเพิ่มวงเงินเพื่อนำใช้ซ่อมแซมหน่วยธุรกิจได้ ดังนั้น เมื่ออยู่สถาณการณ์แย่สุดจะรับมือได้ ดังนั้น หากช่วง 2-3 ปีนี้ EBITDA อยู่ระดับกว่า 3 พันล้านบาท ถือว่าพอไหว