'เกษตร'ลุยยุทธศาสตร์ ผลไม้ปี68 เปิดตลาด คุมมาตรฐาน กระจายทั่วถึง

สถานการณ์การผลิตผลไม้ ปี นี้มีกว่า 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 22% ผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนพ.ค. ทั้งทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง จึงต้องเร่งกระจายออกนอกพื้นที่
เมื่อเร็วๆนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดจันทบุรี เข้าร่วมรับฟังปัญหาของเกษตรกรในภาคตะวันออก ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตผลไม้ที่สำคัญของไทย และส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยไปยังตลาดโลกให้มากขึ้น
โดยตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนจันทบุรี ขอให้มีการเพิ่มจำนวนการตั้งห้อง Lab ตรวจวิเคราะห์สารในจังหวัดที่มีการปลูกผลไม้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและส่งออกได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงให้มีการออกกฎระเบียบควบคุมแก้ไขปัญหาทุเรียนอ่อนอย่างเข้มข้น ป้องกันทุเรียนด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด ตลอดจนการแก้ปัญหาผลผลิตตกค้างที่ด่านตรวจของจีน ซึ่งขณะนี้มีความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการเจรจากับทางจีน เพื่อขอให้เพิ่มช่องเพื่อความรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยแล้ว
ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการผ่านคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ซึ่งได้บริหารจัดการผลไม้ฤดูการผลิต ปี 2568 เพื่อยกระดับเกษตรกรไทยผลิตผลไม้คุณภาพได้มาตรฐานสู่ตลาดสากล ผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 ส่งเสริมการปรับเพิ่มผลิตภาพการผลิตผลไม้ มาตรการที่ 2 เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม กำกับคุณภาพมาตรฐานสุขอนามัยพืช ตลอดห่วงโซ่การผลิต และมาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพกลไกตลาดสินค้าผลไม้ เน้นการทำงานแบบบูรณาการ เพื่อรักษามาตรฐานและยกระดับสินค้าเกษตรไทยอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกันยังได้ดำเนิน 5 แนวทางควบคู่กันไป ได้แก่ 1. บริหารจัดการผลผลิตโดยวางแผนการกระจายตัวของผลผลิต ทำให้ตลาดไม่กระจุกตัว 2. ควบคุมคุณภาพตั้งแต่แปลงปลูก ยกระดับมาตรฐาน GAP สำหรับทุเรียน ตั้งจุดบริการตรวจก่อนตัด ป้องกันทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด 3. การบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกร เพิ่มบทบาทแปลงใหญ่และสหกรณ์ในการควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิต 4. การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร จัดเกรดผลไม้ สำหรับผลผลิตที่ตกเกรด นำไปแปรรูป เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เช่น ฟรีซดราย หรือนำไปสกัดทางเภสัชกรรม และ 5. การเพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมช่องทาง e-Commerce สำหรับเกษตรกร
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพก่อนการส่งออก มีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ในระดับแปลง จนถึงกระบวนการคัดแยกและบรรจุต้องถูกสุขลักษณะตามหลัก GMP ซึ่งภาคตะวันออกมีโรงคัดบรรจุ 807 แห่ง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 (สวพ.6) กรมวิชาการเกษตร ได้จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่สำหรับบริการขึ้นทะเบียนและต่ออายุการรับรอง GAP เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้กับเกษตรกร รวมถึงสร้างความเข้าใจกับเกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้ส่งออก ขึ้นทะเบียน นักคัด นักตัดทุเรียน เพื่อยกระดับความสามารถของโรงคัดบรรจุในเรื่องของการตรวจสอบคุณภาพสุก-แก่ของทุเรียน เพื่อการเตรียมความพร้อมสำหรับเดือนกรกฎาคม ปี 2568 ที่ทุกล้งจะเข้าสู่มาตรฐานบังคับ มกษ.9070-2566 ซึ่งทางโรงคัดบรรจุต้องตรวจน้ำหนักแห้งด้วยตนเอง
นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมมือกับ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จัดงานแสดงสินค้าพร้อมจำหน่ายสินค้าคุณภาพสู่ผู้บริโภค ภายในงาน “มหานครผลไม้ไทยภาคตะวันออก” ระหว่างวันที่ 19 – 31 พ.ค. 2568 บริเวณตลาดสด อ.ต.ก.เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อผลไม้สดใหม่และผลิตภัณฑ์แปรรูปคุณภาพจากเกษตรกรภาคตะวันออกโดยตรง อีกทั้งเตรียมขยายงานแสดงสินค้าสู่ภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป
นายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวว่า อ.ต.ก. มีหน้าที่และความรับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการตลาดกลางสินค้าเกษตร เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางจำหน่ายผลผลิตโดยตรง ลดปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง และสร้างความเป็นธรรมในระบบการค้าสินค้าเกษตร การดำเนินงานของ อ.ต.ก. ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ตลาด การอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรและผู้ซื้อ การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ผลผลิตของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง
“การร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ อ.ต.ก. ในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยการนำผลผลิตคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรงมาจำหน่ายสู่ผู้บริโภคในวงกว้าง ผ่านกิจกรรมต่างๆ และช่องทาง E-Commerce ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาผลไม้กระจุกตัว ทั้งให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลไม้สดใหม่ คุณภาพดี ในราคาที่เป็นธรรม”นายปณิธาน กล่าว
สำหรับงาน “มหานครผลไม้ไทยภาคตะวันออก” ในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อเร่งกระจายผลผลิตผลไม้ไม่ให้เกิดการกระจุกตัวในพื้นที่ มุ่งเน้นการลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด รวมถึงเป็นการควบคุมปริมาณและคุณภาพของผลผลิตของเกษตรกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
อ.ต.ก. เชื่อมั่นว่าการจัดงาน “มหานครผลไม้ไทยภาคตะวันออก” ในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการยกระดับผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรผ่านการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน







