พาณิชย์ เผย 2 เดือนแรกปี 68 ไทยส่งออกภายใต้ FTA โต 24.11%

กรมการค้าต่างประเทศ เผย เผยตัวเลขการใช้ FTA ส่งออก เดือนม.ค.-ก.พ.ปี 268 มีมูลค่า15,086.20 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 81.36% เติบโต 24.11% เชิญชวนให้ใช้สิทธิ FTA ที่มีผลบังคับใช้แล้วทั้ง 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศคู่ค้า เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้า ขยายตลาดใหม่ๆ ลดการพึ่งพาตลาดเดียว
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ปี 2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิ รวม 15,086.20 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 81.36% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.11%
โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1มูลค่า 5,303.67 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 68.50% อันดับ 2 เป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 3,163.48 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 90.66%
อันดับ 3 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 3,206.08 ล้านดอลลาร์สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 89.97% อันดับ 4 ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,027.36 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 75.93% และอันดับ 5 การค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 894.95 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 58.16 %
ภาพรวมสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิฯ FTA ส่งออกมาที่สุด ได้แก่ 1. แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,513.63 ล้านดอลลาร์ 2. ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 999.73 ล้านดอลลาร์
3. แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 697.10 ล้านดอลลาร์ 4. ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 602.57 ล้านดอลลาร์ และ 5. น้ำตาลที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 372.23 ล้านดอลลาร์
นางอารดา กล่าวว่า ในช่วงเดือนก.พ.นี้ FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก คือ อาเซียน-อินเดีย ที่มีมูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิ FTA ในเดือนก.พ.เพียงเดือนเดียวอยู่ที่ 1,737.27 ล้านดอลลาร์ หรือ 53,855.37 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมากกว่า 300%
เป็นผลมาจากมีการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงไปยังอินเดีย ได้แก่ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป หรือเป็นผง และเครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ ส่งผลให้ตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในภาพรวมเพิ่มขึ้นด้วย โดยสำหรับการส่งออกไปอินเดีย นอกจาก FTA อาเซียน-อินเดียแล้ว ไทยยังมีความตกลง FTA ไทย-อินเดีย ด้วย
โดยช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.68 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ที่ 76.96 ล้านดอลลาร หรือ 2,385.82 ล้านบาท มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 35.61% และมีอัตราการเติบโต 2.94% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าและถึงแม้ว่าภายใต้ FTA ไทย-อินเดียนั้น อินเดียไม่ได้ลดภาษีให้สินค้าไทยมากนัก ส่งผลให้อัตราการใช้สิทธิฯ ไม่สูงมาก แต่ขณะนี้ไทยและอินเดียอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาปรับปรุงความตกลงที่คาดว่าจะครอบคลุมสินค้าจำนวนมากขึ้น
รวมถึงการค้าบริการและการลงทุน โดยหากการเจรจาแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้ไทยมากขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะตลาดอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพเนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1.4 พันล้านคน มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ และแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียที่เติบโตต่อเนื่อง มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ
นางอารดา กล่าวว่า ในเดือนเมย.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เชิญภาคเอกชนผู้มีประสบการณ์ในการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA แลกเปลี่ยนความเห็นถึงโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์ทางการค้าโลกจากผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ พูดคุยกับผู้แทนจากสภาผู้ส่งออก และกรมการค้าต่างประเทศ ภายใต้หัวข้อแนวทางรับมือสำหรับผู้ประกอบการ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี ภายใต้โครงการส่งเสริม SMEs ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FTA ขยายธุรกิจ พิชิตส่งออก” ที่จังหวัดนครพนม
โดยจากงานสัมมนาดังกล่าว ทุกคนเห็นร่วมกันว่า FTA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างแต้มต่อในการส่งออก ช่วยลดภาษีนำเข้า ลดต้นทุนทางการค้า ทำให้สินค้าส่งออกจากไทยน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐได้เจรจาจัดทำ FTA ฉบับใหม่ๆ กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย-ศรีลังกา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป หรือ เอฟต้า ไทย-ภูฏาน โดยการใช้สิทธิฯ ผ่าน FTA ทั้งหมดนี้ จะช่วยขยายตลาดการส่งออกใหม่ๆ และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออกได้
ในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศยังคงมีแผนการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศต่อเนื่องทั้งจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน







