สภาพัฒน์ หั่น GDP นี้เหลือขยายตัวได้ 1.8% รับความเสี่ยงภาษีทรัมป์

‘สภาพัฒน์’ หั่นจีดีพีปีนี้เหลือขยายตัวได้ 1.8% จากเดิม 2.8% แม้ไตรมาส 1 ปีนี้ขยายตัวได้กว่า 3.1% รับความผันผวนเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจากนโยบายภาษีทรัมป์
วันนี้ (19 พ.ค.68)นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวได้ 3.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 3.3% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2567 0.7%
โดยเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มาจากด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้า และการลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลชะลอตัว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 2.6% ชะลอลงจากการขยายตัว 3.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวในทุกหมวดสินค้า โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัว 1.9% ชะลอลงจาก2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการใช้จ่ายกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มเป็นสำคัญ
การใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัว 4.5 %ชะลอลงจาก 6.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มบริการด้านสุขภาพ
ส่วนการใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัว 0.9% ชะลอลงจาก 3.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้า และรองเท้า และการลดลงของการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องเรือน และเครื่องตกแต่ง
ขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลง1.4% ต่อเนื่องจากการลดลง 9.5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะลดลง 2.0% เทียบกับการลดลง 21.2% ในไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ โดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 51.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.5 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 3.4% ชะลอลงจากการเพิ่มขึ้น 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยค่าซื้อสินค้า และบริการขยายตัว 9.8% รายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้า และบริการในระบบตลาดขยายตัว 6.0% และค่าตอบแทนแรงงานขยายตัว 0.9%
สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 23.6 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 36.7 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่าร้อยละ 18.9 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)
การลงทุนรวม ขยายตัว 4.7% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 5.1% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 26.3% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 39.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการลงทุนรัฐบาล ในขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลง สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่12.8% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 13.4% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่า 5.1% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ลดลง 0.9% ต่อเนื่องจากการลดลง 2.1% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือลดลง 0.3% เทียบกับการลดลง 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง 3.8% ต่อเนื่องจากการลดลง 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ 2.6%การอุปโภคภาครัฐขยายตัว 3.4% การก่อสร้างขยายตัว 16.2%
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568
ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 - 2.3 (ค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ร้อยละ 1.8) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568
รวมทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางอัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่อง
อย่างไรก็ดี การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปียังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือน และภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และปริมาณการค้าโลก และผลกระทบจากการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร
ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.4 และการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 0.7 ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ.ขยายตัวร้อยละ 1.8 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5ของ GDP
สำหรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจในปีนี้ยังมาจากเศรษฐกิจภายนอกโดยเฉพาะปริมาณการค้าโลก ที่จะลดลงจากความไม่แน่นอนเรื่องของการเจรจาการค้าหลังสหรัฐขึ้นภาษี การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ขณะที่ในประเทศมีความเสี่ยงจากเรื่องของหนี้ครัวเรือน คุณภาพสินเชื่อต้องจับตา และต้องมีการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้มีการเพิ่ม NPL
ภาคเกษตรยังคงเจอกับความไม่แน่นอนเรื่องของสภาพอากาศที่อาจจะมีปัญหาในแง่ของรายได้ภาคเกษตรมากขึ้น
โดย สศช.ได้แนะนำการบริหารเศรษฐกิจของภาครัฐ 6 ข้อได้แก่
1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น เพื่อรักษาการเบิกจ่ายของภาครัฐให้ช่วยเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพทางการคลัง และสร้างเสถียรภาพ
2.การดำเนินการเพื่อรองรับการยกระดับมาตรการ การกีดกันทางการค้าของประเทศ
โดยเร่งการเจรจากับสหรัฐ ตามที่รัฐบาลได้เตรียมการไว้ในหลายด้าน รวมทั้งเร่งรัดการส่งออกสินค้า และขยายตลาดใหม่ๆ และส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
3.การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาด และการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม ใช้กฎหมายในการดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตรวจเฝ้าระวังเรื่องของการทุ่มตลาด
4.การให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ช่วยเหลือสภาพคล่องเพื่อไม่ให้มีการปลดคนงานออกจากการทำงาน
5.การดูแลภาคเกษตร และรายได้เกษตรกร โดยเตรียมรองรับผลผลิตสินค้าเกษตร และลงทุนแหล่งน้ำขนาดเล็ก
6.การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ที่จะช่วยให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้ต่อเนื่อง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







