“นักเดินทาง”ยอมจ่ายค่าความสะดวก ส่งธุรกิจท่าอากาศยานคึกคัก

การเดินทางทั่วโลกช่วง 2-3 ปีมานี้มีความคึกคักอย่างมาก จนทำให้ท่าอากาศยานต่างๆทั่วโลกเผชิญความความแออัดจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมของนักเดินทางเปลี่ยนไป
ข้อมูลจากเวบไซด์ AviationPros.com ที่เผยแพร่ผลสำรวจ Airport Experience 2025 (AX25) ซึ่งสำรวจผู้เดินทางประจำมากกว่า 10,000 คน พบว่า ผู้เดินทาง 66% รู้สึกว่าสนามบินแออัดมากขึ้น เนื่องจากสนามบินมีผู้โดยสารหนาแน่นมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวหันมาใช้บริการห้องรับรองพิเศษเพิ่มมากขึ้นเพื่อหลีกหนีจากความแออัดซึ่งผลสำรวจระบุว่าเหล่านักเดินทางเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อใช้บริการนี้
“นักท่องเที่ยวที่ตอบแบบสำรวจ42% ใช้บริการห้องรับรองในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลและในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น อินเดีย เวียดนาม และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ นักท่องเที่ยว 62% กล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาจ่ายเงินเพื่อรับบริการระดับพรีเมียมเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ที่สนามบิน และการเข้าใช้ห้องรับรองที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ”
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวขาประจำจำนวนมากเข้าใช้ห้องรับรองผ่านสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิตระดับพรีเมียมหรือโปรแกรมต่างๆ เช่น Priority Pass ขณะที่ 33% เลือกชำระเงินต่อครั้ง ของการเข้าใช้ห้องรับรอง นอกจากนี้ พบว่า นักท่องเที่ยว 97% จะไม่สละสิทธิประโยชน์การเข้าใช้ห้องรับรองพิเศษ และ 45% จะเปลี่ยนธนาคารเพื่อให้แน่ใจว่าจะคงสิทธิประโยชน์นี้ไว้ โดยกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการใช้ห้องรับรองไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพราะอาคารผู้โดยสารต่างมีผู้โดยสารหนาแน่น
นอกเหนือจากห้องรับรองแล้ว นักท่องเที่ยวจำนวนมากยังต้องการประสบการณ์ต่างๆที่สนามบินแบบองค์รวม ทั้งการบริการที่ดี การสร้างประสบการณ์ด้านความบันเทิง รวมไปถึงการพักผ่อนเพื่อสุขภาพและความงามด้วย
โดยผลสำรวจ AX25 เปิดเผยว่าบริการใหม่ในสนามบินส่วนที่เป็นที่ต้องการ ด้านความบันเทิง 53% ตัวเลือกสำหรับครอบครัว 50% และห้องนอน 49%โดยนักท่องเที่ยวต่างเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อประสบการณ์ที่ต้องการ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสนามบิน พบว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ได้เปิดผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนต.ค. 2567 - มี.ค.2568) มีรายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน 18,188.15 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 2,751.25 ล้านบาท คิดเป็น 17.82% รายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.98% และมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 10,397.57 ล้านบาท
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้างรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กล่าวว่า ปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ใน 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 มีจำนวนเที่ยวบินรวม 414,377 เที่ยวบิน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 12.90% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น11.76% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน
ความคืบหน้าการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการบริการเพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ โดย ทอท. ได้ดำเนินโครงการกระตุ้นตลาดด้านการบิน (Incentive Scheme) และโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อให้สายการบินประกอบกิจการได้อย่างยั่งยืน และผู้โดยสารสามารถเดินทางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคได้สะดวกมากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาซึ่งจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่มาใช้บริการมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ทอท. ได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท่าอากาศยานหลักของประเทศทั้ง 6 แห่ง เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อให้มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576 นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และ ท่าอากาศยานภูเก็ต พร้อมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเติบโต
ของการดำเนินธุรกิจและความมั่นคงของอุตสาหกรรมการบินโดยรวม
ทอท. ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในระดับสากลมาใช้ทุกขั้นตอนของการให้บริการในสนามบิน เช่น ระบบให้บริการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบิน (Airport Collaborative Decision Making (A - CDM) เพื่อยกระดับการบริหารจัดการเที่ยวบินให้สอดคล้องกับแผนการเดินทางอากาศสากล ลดความล่าช้าในการเดินทาง โดยเริ่มเปิดให้บริการระบบเช็กอินอัตโนมัติ ระบบโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ ระบบสแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง (Biometric) ที่ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเช็กอินและขึ้นเครื่องได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารซ้ำซ้อน เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดระยะเวลารอคอย รวมทั้งนำระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control : ABC) มาใช้สำหรับผู้ถือ e-passport และใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบกระดาษ เต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568 เพื่ออำนวยความสะดวก ลดเวลา รอคิว เพิ่มประสิทธิภาพการบริการของท่าอากาศยานไทยสู่การเดินทางแบบ “Smart Airport - Smart Immigration”
นอกจากนี้ AOT ยังเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ ทอท. และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์โดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ผ่านโครงการ AOT Property Showcase โครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ - เอกชน (Public Private Partnership: PPP) โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นโครงการให้บริการคลังสินค้า ซึ่งอยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน โครงการก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อการขนส่งระบบราง ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง