'สอน.' ถอดข้อมูลโรงงานรับซื้อ 'อ้อยไฟไหม้' ออกจากเว็บ!

'สอน.' ถอดข้อมูลโรงงานรับซื้อ 'อ้อยไฟไหม้' ออกจากเว็บ!

เกิดอะไรขึ้น! สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ถอดข้อมูลโรงงานรับซื้อ "อ้อยไฟไหม้" ออกจากเว็บไซต์

KEY

POINTS

  • รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาไร่อ้อยในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
  • ผลผลิตอ้อยปี 67/68: จากข้อมูล สอน. พบว่ามีอ้อยเข้าหีบ 92.04 ล้านตัน แบ่งเป็นอ้อยสด 78.36 ล้านตัน (85.14%) และอ้อยเผา 13.68 ล้านตัน (14.86%)
  • ข้อมูลสถิติการรับซื้ออ้อยรายโรงงานหายไปจากเว็บไซต์ของสอน. ในช่วงใกล้ปิดหีบ เหลือเพียงตัวเลขรวมของอ้อยสดและอ้อยเผาเท่านั้น ซึ่งเดิมประชาชนสามารถตรวจสอบได้

จากปัญหาการแก้ไขฝุ่น PM2.5 รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยส่วนหนึ่งที่สำคัญมาจากปัญหาการเผาไหม้ของผืนป่าและการเผาไร่อ้อยของชาวเกษตรกรในฤดูเก็บเกี่ยวอ้อยเข้าหีบในช่วงปลายปีถึงถึงต้นปีถัดไป

โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 วันที่ 28 ม.ค. 2568 นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุมเรื่อง ปัญหา PM 2.5 ขอให้แต่ละกระทรวง นำเสนอว่ามีมาตรการอะไรบ้าง และขอย้ำกับทาง กระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องอ้อย ซึ่งยังเห็นการเผาไร่อ้อยในบางพื้นที่ ขอให้ทาง กระทรวงอุตสาหกรรมกวดขันเรื่องนี้ และหามาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดการเผา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ PM 2.5 

โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (บอร์ด กอน.) มีมติออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นมาตรการรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากมาตรการในอดีตที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยลดการลักลอบเผาอ้อยได้ ซึ่งเชื่อมั่นว่ามาตรการใหม่นี้จะสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด 100% ผ่านกลไกการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับใบและยอดอ้อย

โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายใบและยอดอ้อย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอของบประมาณจากรัฐบาลประมาณ 7,000 ล้านบาท เพื่อให้การสนับสนุนและดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี โดยชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มประมาณ 120 บาทต่อตันอ้อย และถือเป็นครั้งแรกที่ได้มีการแจ้งมาตรการก่อนการเปิดหีบอ้อย 

และยังเห็นชอบมาตรการป้องปรามการลักลอบเผาอ้อย โดยกำหนดให้หักเงินชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยถูกลักลอบเผาในแต่ละวันเป็นรายโรงงาน จากเดิมถูกหักเงินจำนวน 30 บาทต่อตันอ้อย เป็นถูกหักเงิน 30 - 130 บาทต่อตันอ้อย

ทั้งนี้ จากข้อมูล สอน. พบว่า ผลผลิตอ้อยเข้าหีบฤดูการผลิตปี 2567/2568 ของโรงงานน้ำตาล 58 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้เปิดหีบเป็นรายภาคตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 2567 ถึงวันที่ 7 เม.ย. 2568 รวมระยะเวลา 123 วัน มีปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งสิ้น 92.04 ล้านตัน แบ่งเป็นอ้อยสด 78.36 ล้านตัน (85.14%) และอ้อยเผา 13.68 ล้านตัน (14.86%)

รายงานข่าวระบุว่า ช่วงฤดูเปิดหีบอ้อยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ให้รับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบ โดยชะลอ ระงับ ยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อย พร้อมทั้งยุติการรับอ้อยเผาไฟเข้าหีบ ระหว่างวันที่ 3 ม.ค. 2568 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 12 ม.ค. 2568 เวลา 23.59 น. เพื่อเป็นของขวัญวันเด็กสำหรับเยาวชนไทยทั้งประเทศ โดยการคืนอากาศบริสุทธิ์ให้แก่เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ตามนโยบายของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงงานน้ำตาลเกือบทุกแห่ง

ซึ่งสอน.ไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากโรงงานน้ำตาล 6 ราย ซึ่งเป็นเครือบริษัทน้ำตาลทรายรายใหญ่ เนื่องจากมีตัวเลขการรับซื้ออ้อยถูกเผาสูง ได้แก่ 

  • โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี รับซื้ออ้อยถูกเผา 58.8% 
  • โรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี จ.อุดรธานี รับซื้ออ้อยถูกเผา 41.68% 
  • โรงงานมิตรกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ รับซื้ออ้อยถูกเผา 35.66% 
  • โรงงานน้ำตาลเอราวัณ จ.หนองบัวลำภู รับซื้ออ้อยถูกเผา 27.05% 
  • โรงงานไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จ.สกลนคร รับซื้ออ้อยถูกเผา 26.99% 
  • โรงงานรวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จ.ขอนแก่น รับซื้ออ้อยถูกเผา 20.06%

ส่งผลให้โดยภาพรวมเฉลี่ยโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศรับซื้ออ้อยถูกเผากว่า 4 ล้านตัน คิดเป็น 21.80% ของปริมาณอ้อยที่รับเข้าหีบทั้งหมดกว่า 18 ล้านตัน เทียบเท่าเผาป่ากว่า 4 แสนไร่ และสร้างมลพิษปล่อย PM 2.5 จากการเผาไร่อ้อยสูงถึง 1,000 ตัน

อีกทั้ง จากรายงาน สอน. ระบุว่า วันที่ 27 ธ.ค. 2567 พบ บริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาล ทีเอ็น จำกัด จังหวัดลพบุรี ฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่ปรับปรุงระบบบำบัดอากาศ อีกทั้งมีการรับอ้อยเผาไฟเข้าหีบสูงที่สุดกว่า 73.74% ของปริมาณอ้อยทั้งหมดที่รับเข้าหีบ จึงให้หยุดประกอบกิจการโรงงานในทันที และให้ปรับปรุงจุดตรวจวัดของปล่องระบายของระบบบำบัดมลพิษอากาศพร้อมทั้งดำเนินการตรวจวัดวิเคราะห์ค่ามลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด ภายในวันที่ 31 ม.ค. 2568

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2568 นายเอกนัฏ ได้สั่งการให้ “ทีมตรวจการสุดซอย” นำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี บูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานน้ำตาลของบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และโรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คำบง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี  

ทั้งนี้ พบว่า บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด รับอ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงสุดจากโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 โรงงาน คิดเป็น 43.11% ของปริมาณอ้อยทั้งหมด หรือกว่า 4.1 แสนตัน เทียบเท่าการเผาป่ากว่า 4.1 หมื่นไร่ อีกทั้งยังพบว่า บริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำส่งให้กับโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี 

อีกทั้ง ยังฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัย มีการประกอบกิจการในสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงถึงชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงาน เช่น มีการจัดเก็บหรือการดำเนินการเกี่ยวกับสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมที่ใช้และเกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงานที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ตู้ควบคุมไฟฟ้าอยู่ในสภาพชำรุดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ และติดตั้งระบบดับเพลิงที่ไม่พร้อมใช้งานในหลายจุด จึงมีคำสั่งด่วนที่สุดให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมด จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ จากสถิติการรับอ้อยเผารายวันของโรงงานน้ำตาล 58 แห่งทั่วประเทศ ณ วันที่ 22 ม.ค. 2568 (รวมวันเปิดหีบ 48 วัน) พบว่า ปริมาณอ้อยเข้าหีบ ทั้งสิ้น 40,911,920.410 ตัน แบ่งเป็นปริมาณอ้อยสด 33,691,648.005 ตัน สัดส่วน 82.35% และอ้อยไฟไหม้ 7,220,272.405 ตัน สัดส่วน 17.65% ซึ่งจะพบว่าสัดส่วนอ้อยเผาที่โรงงานน้ำตาลรับซื้อเริ่มมีปริมาณลดลงเรื่อยๆ แล้ว
รายงานข่าว ระบุว่า ภายหลังรัฐบาลมีนโบายเข้มงวดในการห้ามรับซื้ออ้อยเผา ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบสัดส่วนการรับซื้ออ้อยของโรงงานน้ำตาลต่างๆ ได้ผ่านเซ็บไซต์ของ สอน. เพราะเป็นข้อมูลที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ในช่วงหลังใกล้ปิดหีบ กลับไม่พบข้อมูลสถิติการรับซื้ออ้อยรายโรงงาน พบเพียงตัวเลขโดยรวมของสัดส่วนการรับซื้ออ้อยสดและอ้อยเผาเท่านั้น