นับถอยหลัง 50 วัน ก่อน 'เส้นตายภาษีทรัมป์' ไทยเจรจาคืบหน้าแค่ไหน

นับถอยหลังเส้นตายภาษีศุลกากรสหรัฐฯเหลือเวลาอีก ประมาณ 50 วัน ก่อนภาษีไทยจะขยับเพิ่มเป็น 36% ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชนไทย – ใช้ “คอนเน็กชั่น” ผลักดันการเจรจา
KEY
POINTS
- นับถอยหลังเส้นตายภาษีศุลกากรสหรัฐฯเหลือเวลาอีก ประมาณ 50 วัน ก่อนภาษีไทยจะขยับเพิ่มเป็น 36%
- ความไม่แน่นอนส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หากถูกเก็บภาษี 36% จริง เศรษฐกิจไทยอาจโตเพียง 0.7% และสูญเสียรายได้จากการส่งออกสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาทใน 10 ปี
- รอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีความพยายามของรัฐบาลไทยในการเจรจาโดยยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ ต่อสหรัฐฯ
- มีการหารือระหว่างรัฐมนตรีพาณิชย์ไทยและ USTR ในเวที APEC ที่เกาหลีใต้ โดยระบุไทยพร้อมเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยรอฝ่ายสหรัฐฯ กำหนดวัน
- ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชนไทย – ใช้ “คอนเน็กชั่น” ผลักดันการเจรจา ทั้งคณะของหอการค้าไทยที่ไปสหรัฐฯและ CEO บริษัทกัลฟ์ ได้พูดคุยกับทรัมป์ ซึ่งมีท่าทีเชิงบวกต่อการลงทุนจากไทย
ในปีนี้สหรัฐอเมริกาได้ประกาศนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกำหนดอัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากเกือบทุกประเทศ ในส่วนของประเทศสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีศุลกากร 36% เนื่องจากเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์ในปัจจุบันประเทศต่างๆที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีรวมทั้งประเทศไทยอยู่ในช่วงผ่อนผันยังไม่เก็บภาษีเต็มจำนวน โดยมีระยะเวลาในการผ่อนผัน 90 วัน โดยจะครบกำหนดเส้นตายในวันที่ 7 เดือน 7 (7 ก.ค.) ปีนี้ ซึ่งล่าสุดหากนับจากวันนี้ (17 พ.ค.)เท่ากับประเทศต่างๆเหลือเวลาในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯประมาณ 50 วันเท่านั้นก่อนจะถึงเส้นตายที่กำหนดไว้
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทย โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2025 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเตือนว่าหากภาษี 36% ถูกบังคับใช้จริง อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 0.7% และสูญเสียรายได้จากการส่งออกมากถึง 1.4 ล้านล้านบาทในทศวรรษหน้า
ในช่วงระยะเวลาที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆยังมีคำถามว่ารัฐบาลไทยจะได้คิวในการเจรจากับสหรัฐฯเมื่อไหร่ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่ามีความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนของไทย ท่ามกลางความหวังว่าเราจะได้วันนัดหมายในการเจรจา ซึ่งสามารถแบ่งความเคลื่อนไหวออกเป็น 3 เหตุการณ์ ดังนี้
1.ไทยส่งข้อเสนอ (Proposal) เพื่อให้สหรัฐฯพิจารณาลดภาษี โดยไทยเรามีข้อเสนอ 5 ข้อเพื่อลดเกินดุลการค้าสหรัฐฯ รวมทั้งเพิ่มการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
ทั้งนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าไทยได้จัดทำข้อเสนอ (Proposal) ส่งให้สหรัฐเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ส่งให้นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ 2.ส่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยข้อเสนอนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯระบุว่าเป็นข้อเสนอที่อยู่ในระดับที่ “ดีมาก”
โดนข้อเสนอไทย 5 ข้อที่ส่งให้กับสหรัฐฯไดผ่านความเห็นชอบจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว รวม 5 ข้อ ได้แก่1.ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี
2.การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตรและเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ โดยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหาร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เดินทางไปรัฐอลาสกา เพื่อหารือผู้ว่าการรัฐอลาสกาและบริษัทพลังงานของสหรัฐ เพื่อเพิ่มความร่วมมือด้านพลังงานไทย-สหรัฐ
3.การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย เช่น ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
4.การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งไทยเริ่มดำเนินการบังคับใช้กฎหมายจริงจัง และเจ้าที่กรมขนส่งสหรัฐพึงพอใจระดับหนึ่ง
และ 5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐมากขึ้น โดยขณะนี้นางนลินี ทวิสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย รวมถึงนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และภาคเอกชนไทยเยือนสหรัฐร่วมงาน Select USA Investment Summit 2025 เพื่อดูลู่ทางการลงทุนในสหรัฐเพิ่ม
2.การพบกันระหว่างรัฐมนตรีพาณิชย์ของไทย และประธาน USTR ของสหรัฐฯในเวทีรัฐมนตรีการค้าเอเปค ที่เกาหลีใต้
โดยเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พบหารือกับ นายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (Mr. Jamieson Greer) ประธาร USTR ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีด้านการค้าของเอเปค (Ministers Responsible for Trade: MRT) ประจำปี 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15–16 พฤษภาคม ณ เมืองเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
ซึ่งในการหารือครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้หยิบยกประเด็นข้อเสนอของฝ่ายไทย ซึ่งได้จัดส่งให้ทางการสหรัฐฯ ล่วงหน้า โดยเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบความร่วมมือที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมย้ำถึงบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐในภูมิภาคเอเชีย
นายพิชัย เปิดเผยว่า ข้อเสนอของไทยได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากฝ่ายสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากนายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Mr. Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในท่าทีและความจริงใจของไทยในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับทวิภาคีอย่างเป็นรูปธรรม
โดยการพบหารือในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการดำเนินความสัมพันธ์เชิงรุกกับสหรัฐฯ โดยมุ่งรักษาผลประโยชน์ของประเทศจากมาตรการด้านภาษีที่อาจกระทบต่อภาคการค้าการลงทุน และส่งเสริมความร่วมมือที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว
“ไทยได้แสดงความพร้อมในการเปิดการเจรจาเชิงนโยบายด้านภาษี ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเร็ว ๆ นี้ โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะเป็นผู้กำหนดวันนัดหมายอย่างเป็นทางการ ภายใต้ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-disclosure Agreement: NDA) ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานของสหรัฐฯ ในการเจรจาระหว่างประเทศ” นายพิชัย ระบุ
นอกจากนี้ นายพิชัย ยังได้เชิญชวน ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ซึ่งนาย Jamieson ได้ตอบรับว่า ถ้ามีโอกาสคงได้มาเยือนประเทศไทยอย่างแน่นอน
3.ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชนไทย ในการแสดงความพร้อมในการลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ โดยปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วอชิงตัน ดีซี และที่ประเทศกาตาร์
โดยที่วอชิงตัน ดีซี การเยือนสหรัฐฯของประธานผู้แทนการค้าไทย และภาคเอกชนของไทย เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเสนอโมเดลในการร่วมผลิตสินค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมทั้งการแสดงความพร้อมของภาคเอกชน
โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมานางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย ที่อยู่ระหว่างเยือนสหรัฐร่วมกับภาคเอกชนไทยเพื่อดูลู่ทางการลงทุนในสหรัฐ ได้หารือกับวุฒิสมาชิกแทมมี ดัควอร์ธ จากรัฐอิลลินอยส์ และวุฒิสมาชิกเอลิสซา สล็อตคิน จากรัฐมิชิแกน และภาคเอกชนรายสำคัญในพื้นที่ เพื่อหารือถึงบทบาทไทยในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพและการขยายการลงทุนในสหรัฐ
โดยไทยได้ย้ำถึงความพร้อมของไทยในการลงทุนเพิ่มเติม อาทิ เกษตร พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งที่ผ่านมาเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 17,000 ล้านดอลลาร์ และสร้างการจ้างงานไม่น้อยกว่า 15,000 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ได้หารือกับผู้แทนรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐถึงข้อเสนอการร่วมผลิต (joint manufacturing) เช่น การผลิตแผงโซลาร์ หรือชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย เพื่อส่งไปประกอบขั้นสุดท้ายในสหรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและการสร้างงานทั้ง 2 ประเทศ
ขณะที่ประเทศกาตาร์เหตุการณ์ที่สอดรับกันพอดีคือเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาในระหว่างที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเยือนตะวันออกกลาง กษัตริย์แห่งกาตาร์ ชีก ทามิม บิน ฮามัด อัล ธานี กษัตริย์แห่งกาตาร์ ได้จัดเลี้ยงอาหารเย็นที่ลูเซล พาเลซ เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้นำสหรัฐ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ มีคณะประกอบด้วย นายสกอตต์ เบสเซนต์ รมว.คลัง นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รมว.พาณิชย์ นายอีลอน มัสก์, นายพีท เฮกเซธ รมว.กลาโหม และนายคริส ไรต์ รมว.พลังงาน
โดยงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ลูเซลพาเลซ นอกจากกษัตริย์แห่งกาตาร์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพแล้ว ยังมีเชื้อพระวงศ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในรัฐบาลกาตาร์ ร่วมรับรองด้วย มีนักธุรกิจจากสหรัฐ และจากเอเชีย จากประเทศในเอเชีย อาทิ ไทย, อินเดีย ร่วมด้วย
สำหรับประเทศไทยมีนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอจากกัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ เข้าร่วมด้วย โดยนายสารัชถ์เผยว่าได้พบปะกับประธานาธิบดีทรัมป์ และรัฐมนตรีหลายคน เกี่ยวกับการเจรจากับประเทศไทย ซึ่งสหรัฐมีน้ำเสียงที่ดี และพร้อมรับการลงทุนจากประเทศไทย รวมถึงการลงทุนเพิ่มด้านพลังงาน ซึ่งกัลฟ์ก็มีการลงทุนอยู่แล้ว
ทั้ง 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ต้องใช้คอนเน็กชั่นและความพยายามจากภคารัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการเจรจากับสหรัฐฯซึ่งมีเป้าหมายในการลดภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากไทยจากระดับ 36% เหลือ 10% ตามพื้นฐานที่สหรัฐฯเก็บกับประเทศต่างๆ ซึ่งก็จะทำให้ผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจไทยลดลง







