ทบทวนนโยบายด่วน! ส่งออกอย่างไรให้ประเทศไทยได้ประโยชน์

ทบทวนนโยบายด่วน! ส่งออกอย่างไรให้ประเทศไทยได้ประโยชน์

เป็นที่สังเกตได้ชัดมาตลอดว่า แทบทุกประเทศเน้นหารายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการของตน สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วก็มักจะส่งออกสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง

ส่งออกทั้งสินค้าและบริการประเภทที่สามารถทำกำไรได้มากและบางบริการยังสามารถดูดกำไรได้ในระยะยาวอีกด้วย 

แต่ประเทศยากจนหรือที่เราเรียกกันว่าประเทศโลกที่สาม การหารายได้ด้วยการส่งออกนั้นมักต้องแลกเปลี่ยนด้วยความเสียหายและเสียเปรียบมากมาย บ่อยครั้งที่ส่งออกสินค้าที่จำเป็นแต่กลับนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นเข้ามาแทน (เช่น อาวุธ สินค้าฟุ่มเฟือยหรูหรา สินค้าที่ผลิตเองได้ ฯลฯ)

หากปล่อยให้ผู้นำประเทศเน้นแต่ตัวเลขการส่งออก โดยไม่คำนึงถึงเนื้อในการส่งออกแล้ว ผมบอกได้เลยว่า มีแต่เสียกับเสีย เพราะรายได้กับกำไรจากการส่งออกนั้น ส่วนใหญ่ตกกับพ่อค้านายทุน แต่ที่จะมาถึงราษฎรและแม้เกษตรกรนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยนิด

แถมการส่งออกยิ่งมาก การค้าขายระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัตน์ ก็ทำให้ราคาสินค้าบริการทั่วโลกสูงขึ้น จนใกล้เคียงเป็นราคาเดียวกันในที่สุด และบางอย่างที่ส่งออกไปโดยเฉพาะวัตถุดิบ ก็มีแต่นับวันจะหมดไป 

ดังนั้น ผมจึงขอเสนอว่าควรมีการทบทวนนโยบายการส่งออก และช่วยการคิดค้นหาจุดแข็งของประเทศ ที่เหมาะแก่การส่งออก แทนที่จะคำนึงถึงแต่ตัวเลขส่งออก โดยพยายามหาการส่งออกประเภทเหล่านี้

1.สินค้าที่ผลิตได้เกินความต้องการในประเทศ การมีซัพพลายส่วนเกินจะทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ จนอาจทำให้ผู้ผลิตเดือดร้อน แต่ก็อาจเป็นแค่ในบางปีบางเวลา ดังนั้น จึงควรพยายามควบคุมซัพพลายไม่ให้ล้นตลาดน่าจะดีกว่า แต่หากคิดว่าหากส่งออกแล้วได้กำไรมีประโยชน์ จึงค่อยหาทางส่งออก 

2.วัตถุดิบที่หากไม่นำขึ้นมาใช้หรือขาย ประเทศเพื่อนบ้านจะนำไปใช้แทน เช่น น้ำมันดิบใต้พื้นดินหรือทะเล สัตว์น้ำธรรมชาติ แต่หากมีการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์กันได้ ก็น่าจะดีกว่าการเอาขึ้นมาส่งออกแต่เพียงฝ่ายเดียว

3.สินค้าที่สามารถพัฒนาคุณภาพแล้วเพิ่มมูลค่าทางการตลาดได้ หากแต่จะส่งออกเพียงเป็นสินค้าเกษตร วัตถุดิบ จะทำให้ได้ราคาและกำไรน้อย ดังนั้น ควรจะพิจารณาหาทางเพิ่มมูลค่าก่อนส่งออก ดีกว่าส่งออกในรูปวัตถุดิบ

เช่น แทนที่ประเทศไทยจะส่งออกข้าวหอมมะลิชั้นดี ก็ควรพยายามพัฒนาคุณภาพข้าวให้จนดีที่สุด แล้วส่งออกในรูปข้าวสารบรรจุถุงพร้อมบริโภค หรือส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปแทนพืชผักผลไม้เนื้อสัตว์ ฯลฯ

4.สินค้าที่ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก โรงงานผลิตสินค้าบางประเภทแทบไม่ได้ใช้คนงานก็มี หรือบางประเภทอาจใช้แรงงานที่ไม่ต้องมีฝีมือ ทำให้เกิดการจ้างงานที่ไม่ได้ค่าแรงสูงเท่าที่ควร

และต้องระวังอย่างยิ่งหากมีการใช้แรงงานแล้วทำให้คุณภาพชีวิตแรงงานเสียไป เช่น สายตาหรือสุขภาพเสีย และโรงงานประเภทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม จะต้องไม่ให้มีเกิดขึ้นเป็นอันขาด

5.สินค้าที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและอนาคต ประเทศชาติจะพัฒนาแข่งขันได้ เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็น การเปิดการให้มีการพัฒนาใช้เทคโนโลยีในประเทศ จะเป็นการวางรากฐานพัฒนาประเทศในระยะยาว

ดังนั้น บางอุตสาหกรรมแม้อาจได้กำไรน้อยในระยะสั้น แต่เพื่อการศึกษาและพัฒนาต่อยอดในอนาคต เราอาจจำเป็นต้องผลิตให้ได้แม้เพื่อการส่งออกก็ตาม

6.การส่งออกในฐานะนายหน้า ประเทศที่ทำการส่งออกได้ดีและมีกำไร มีไม่น้อยที่ไม่ได้ผลิตสินค้าเอง แต่อาศัยความเป็นพ่อค้าในการจัดหาและให้บริการการส่งออก

แต่จะทำได้ต่อเมื่อประเทศนั้นปราศจากการคอร์รัปชัน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจนำเข้าและส่งออก เห็นได้ชัดจากตัวอย่างประเทศสิงคโปร์

7.สินค้าที่เป็นนวัตกรรมหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะประเทศ ย่อมจะเป็นสินค้าที่ไม่สามารถหาซื้อได้จากประเทศอื่นในโลก ผลิตได้ในประเทศเดียวและอาจได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ย่อมจะสามารถส่งออกต่อเนื่องได้ในระยะยาว และเหมาะแก่การพัฒนาต่อยอดให้มีทั้งปริมาณ คุณภาพ และรูปแบบที่ดีขึ้น

8.การส่งออกแบบต่างตอบแทนหรือให้ความช่วยเหลือ ในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราไม่ควรคำนึงถึงแต่เพียงกำไรหรือผลประโยชน์ บางครั้งกับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศที่ยากจนเดือดร้อน

เราควรช่วยเหลือด้วยการส่งออกสิ่งที่จำเป็นไปให้เขาในราคามิตรภาพ แต่ขอให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสและเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ และหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราก็จะได้นำเข้าในสิ่งที่ดีๆ หรือได้รับการช่วยเหลือตอบแทน

9.ส่งออกบริการให้มากขึ้น การส่งออกบริการนั้นเป็นการส่งออกแรงงาน ความคิด และทักษะ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่น และบางอย่างอาจสามารถหารายได้ทำกำไรได้จำนวนมาก

โดยเฉพาะบริการทางการเงินในโลกปัจจุบัน ประเทศไทยได้ชื่อว่ามีนิสัยใจคอในการให้บริการ แต่ค่อนข้างขาดการพัฒนาและให้ความสำคัญเรื่องนี้

10.พยายามผลิตและส่งออกสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เช่น สมุนไพร อาหารไทย หัตถกรรม ฯลฯ แต่ห้ามส่งออกเด็ดขาดสินค้าที่ทำลายวัฒนธรรมไทยหรือโบราณวัตถุสมบัติชาติ และหากเป็นไปได้สินค้าบางชนิดควรกำหนดให้สหกรณ์เป็นผู้ส่งออกเท่านั้น เพื่อป้องกันการผลิตที่ไม่มีคุณภาพและการตัดราคากันเพื่อส่งออก

11.ไม่ส่งออกไปยังผู้ซื้อรายใหญ่เพียงรายเดียวหรือประเทศเดียว การทำเช่นนี้จะทำให้ถูกต่อรองราคาและเงื่อนไขจนอาจต้องจำยอมในผลการเจรจา และยังเสี่ยงหากเกิดปัญหาไม่สามารถส่งออกไปให้ได้ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

การมีผู้ซื้อหลายรายและหลายทำเลย่อมจะสามารถหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงผู้ซื้อได้ จึงไม่ควรตัดสัมพันธ์ผู้ซื้อรายเล็กหรือประเทศเล็กๆ

12.ภาครัฐจะต้องช่วยกำกับดูแลการส่งออก ให้รู้จักเร่งหรือชะลอการส่งออกตามสถานการณ์ ในบางช่วงเวลาอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าสินค้าบางชนิดอาจจะขาดตลาดหรือปริมาณผลิตลดลงมาก

การชะลอการส่งออกจะทำให้ได้ราคาดีขึ้น และอีกทั้งภาครัฐยังควรหาความร่วมมือประสานงานกับประเทศอื่นที่ส่งออกสินค้าชนิดเดียวกัน ดังที่เคยทำมาแล้วในอดีตกับยางพารา

13.กำหนดโควตาและภาษีส่งออกสินค้าบางประเภท หากปล่อยให้มีการส่งออกเสรีมากเกินไป ผู้ส่งออกบางรายอาจส่งออกจนทำให้สินค้าในประเทศขาดแคลนหรือราคาสูง และพากันตัดราคาส่งออกจนเสียผลประโยชน์ประเทศชาติ

การสำรวจผลผลิตและกำหนดโควตาการส่งออกล่วงหน้าเป็นประจำทุกปี จึงจะช่วยให้การส่งออกได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนสินค้าที่ต่างประเทศมีความต้องการสูงบางประเภท รัฐควรเก็บภาษีจากการส่งออกด้วย เพื่อนำรายได้มาพัฒนาประเทศ

นอกจากนี้ยังไม่ควรที่จะเน้นแต่ตัวเลขการส่งออก ต้องดูคุณภาพการส่งออกด้วยว่า สามารถทำกำไรและสร้างความพึงพอใจให้ผู้ที่สั่งซื้อสินค้านำเข้าจากเราได้ด้วยหรือไม่

เพราะหากผู้ซื้อผู้ขายไม่ได้รับประโยชน์และความพึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ย่อมเป็นตัวเลขการส่งออกที่ไม่ยั่งยืน และการส่งออกที่ดีเพียงชั่วคราว กลับแต่จะสร้างปัญหาระยะยาวให้แก่การผลิตและการค้าขายในประเทศเป็นอย่างมาก.