ผู้บริโภคกังวลภาษีทรัมป์ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ลงต่อเนื่อง

ผู้บริโภคกังวลภาษีทรัมป์ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ลงต่อเนื่อง

ม.หอการค้าไทย  เผย ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. อยู่ที่ 55.4 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3  ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567จับตาสถานการณ์การเมืองหากยุบสภาทำงบปี 69   ดีเลย์ กระทบเจรจาทรัมป์

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,245 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนเม.ย.ปรับตัวลดลงจากระดับ 56.7 เป็น 55.4  เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3  และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 เป็นต้นมา

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 49.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 53.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 63.9  ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนเม.ย.ที่ปรับตัวลดลงมาจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรสมาสแรกของปีนี้แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า  ราคาพืชผลทางการเกษตรทั้งข้าว มันสำปะหลัง ยางารา อ้อย ราคาปรับตัวลงทำให้เม็ดเงินที่จะสะพัดในตลาดสินค้าเกษตรลดลงไปจากเดิม

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นแกนหลักในฝั่งรัฐบาลทั้งสีน้ำเงินและสีแดง  กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งปัญหาการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นการเมืองไทย ออกมาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แม้จะยังไม่มีสถานการณ์ที่บ่งชี้ชัดเจนว่าจะมีผลกระทบรุนแรง

สอดคล้องกับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่มีความระมัดระวัง โดยเฉพาะการซื้อสินค้าคงทน ทั้งบ้าน รถ ท่องเที่ยว รวมทั้งดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตก็ปรับตัวต่ำสุดในรอบ 26  เดือน ทั้งหมดนี้จึงเป็นตัวชี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่โดดเด่น

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในขาลง ซึ่งยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ยังไม่เห็นชัดเจน โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลวงเงิน 2-5 แสนล้าน ก็น่าจะเห็นในครั้งปีหลังหากรัฐบาลยังอยู่ ถ้ามีการสะดุด ซึ่งก็ต้องดูว่ามีการยุบสภาหรือไม่

หากมีการยุบสภาจริง ก็จะทำให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ล่าช้าออกไปอย่างน้อย 3-6 เดือน และการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐก็จะมีผล เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นรัฐบาลตัวจริงหรือรัฐบาลรักษาการ อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าการเมืองคงน่าจะมีทางออกเพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยที่สำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30  เม.ย. 68 พบว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.3.4 ลดลงจากระดับ 51.4 ในเดือนมี.ค. ลดลงต่อเนื่องในเดือนที่ 2 โดยภาคธุรกิจกังวลสงครามการค้าและการเจรจากับสหรัฐ เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีความกังวลต่อภาษีของทรัมป์เป็นหลัก

 สำหรับนโยบายขึ้นภาษีทรัมป์นั้น ทางนายทรัมป์รู้ดีว่า หากขึ้นภาษีไปก็จะทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัวลง  สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย จากเงินเฟ้อในสหรัฐปรับสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในขาขึ้นดังนั้นจะเห็นว่า สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการภาษี เริ่มจากอังกฤษ จีน โดยเฉพาะกับจีนที่บรรลุข้อตกลงด้านภาษีชั่วคราวทำให้มองว่าสหรัฐกับจีนเริ่มเป็นพันธมิตรกันมากขึ้น  

และการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สหรัฐออกมาพูดถึงการขึ้นภาษีในกลุ่มประเทศเอเชีย ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ไทย มีแนวโน้มในการเจรจาที่ดี โดยเฉพาะไทยน่าจะเจรจาได้ 10  %   ซึ่งหากไทยโดนภาษี 10 %  หอการค้าไทยประเมินว่าจะทำให้การส่งออกของไทยและอื่นหายไป 1.5 แสนล้านบาททำให้เศรษฐกิจไทยย่อลง 0.9-1 %

 ทั้งนี้ม.หอการค้าไทยยังคาดการณ์จีดีพีไทยปี 68 จะขยายตัวในกรอบ 1.8-2.% ค่ากลางอยู่ที่ 2 %  โดยจะปรับการคาดการณ์ในเดือนหน้า