‘คลัง’ ถกแบงก์รัฐออกซอฟต์โลน 1 แสนล้าน หนุนผู้ประกอบการสู้ภาษีทรัมป์

“คลัง” สั่งแบงก์รัฐลดกำไร อุ้มธุรกิจไทยสู้ภาษีสหรัฐ เตรียมคลอดซอฟต์โลน 1 แสนล้าน ผ่านออมสิน พร้อมมาตรการเร่งด่วนอื่นๆ เสนอ ครม.เร็วๆ นี้
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง พิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยเป็นการเร่งด่วน เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศใช้นโยบายภาษีใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกา
กระทรวงการคลัง จึงได้เรียกประชุม และมอบนโยบายแก่สถาบันการเงินของรัฐทุกแห่งรวม 7 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้ทบทวน และปรับลดเป้าหมายกำไรจากการดำเนินธุรกิจลง เพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณที่ได้ไปจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบต่างๆ แก่ผู้ประกอบการ
สำหรับมาตรการสำคัญที่จะเร่งเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารออมสิน โดยโครงการนี้จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่แตกต่างจากโครงการซอฟต์โลนอื่นๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างชัดเจน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา
2. ผู้ประกอบการในธุรกิจ Supply Chain ที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก
3. ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ
นอกจากกลุ่มเป้าหมายหลักเหล่านี้ โครงการยังจะครอบคลุมผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวมด้วย
นอกจากนี้ สถาบันการเงินของรัฐแห่งอื่นๆ ก็กำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนที่ตนรับผิดชอบ เช่น ภาคเกษตรกรรม และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการออกมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ส่งออก ธุรกิจ SMEs และธุรกิจที่อยู่ใน Supply Chain โดยมาตรการเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
นายพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ในสภาวะที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความผันผวน และความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กลไกของสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด และผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างเข้มแข็ง และยั่งยืนในระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







