'คงกระพัน' นำทัพปตท. ครบ 1 ปี ฝ่าผันผวน! ลดเสี่ยง สร้างความมั่นคงประเทศ

'คงกระพัน' นำทัพปตท. ครบ 1 ปี ฝ่าผันผวน! ลดเสี่ยง สร้างความมั่นคงประเทศ

เปิดผลงาน "คงกระพัน อินทรแจ้ง" CEO ปตท. คนที่ 11 ครบ 1 ปี ร่วมขับเคลื่อนองค์กรสร้างความแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงธุรกิจ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ เติบโตยั่งยืน

KEY

POINTS

  • "คงกระพัน อินทรแจ้ง" เข้ารับตำแหน่ง CEO ปตท. วันที่ 13 พ.ค. 2567 ครบ 1 ปี โดยตั้งเป้าสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทย สร้างการเติบโตทางธุรกิจ บนพื้นฐานหลักการของความยั่งยืนอย่างสมดุล
  • กลุ่ม ปตท. ปรับแผนโดยเน้นธุรกิจที่ถนัด เพื่อลดความเสียหายให้กับองค์กร ส่วนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร หรือเป็นธุรกิจที่ไม่เชี่ยวชาญ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 
  • จากภารกิจ ปตท.ยังคงมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บริหารต้นทุนราคาที่เป็นธรรมดานโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน พร้อมเดินหน้าในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรับกับเมกะเทรนด์โลก

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้พลิกโฉมธุรกิจครั้งใหญ่อีกครั้ง จากการบริหารงานครบ 1 ปี ของนายคงกระพัน อินทรแจ้ง เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2567 โดย CEO ปตท. ได้มีการตั้งเป้าหมายการทำงานทั้งกลุ่มปตท. เพื่อสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทย สร้างการเติบโตทางธุรกิจ อยู่บนพื้นฐานหลักการของความยั่งยืนอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี

ดำเนินงานตามวิสัยทัศน์       

ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง CEO นายคงกระพัน ได้ประกาศวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างผลกำไร การพัฒนาสังคม และการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ 

  • ธุรกิจต้องยั่งยืน : สร้างกำไรที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ช่วยเหลือ SME และเศรษฐกิจโดยรวม
  • การลงทุนเชิงกลยุทธ์: ลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกับประเทศ พร้อมปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยตัดสินใจลงทุนในสิ่งที่ดีและกล้าที่จะลดหรือเลิกธุรกิจที่ไม่ทำกำไร
  • สร้างความเชื่อมั่น: สร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนด้วยความโปร่งใสและหลักบรรษัทภิบาล
  • พลังบุคลากร: สร้างความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรที่มีความสามารถ เพื่อนำพา ปตท. ผ่านพ้นความเปลี่ยนแปลงและบรรลุวิสัยทัศน์

'คงกระพัน' นำทัพปตท. ครบ 1 ปี ฝ่าผันผวน! ลดเสี่ยง สร้างความมั่นคงประเทศ

"นายคงกระพันเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะนำพา ปตท. ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทยและการขยายธุรกิจในระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับความสมดุลในทุกมิติของการดำเนินงาน"

ลดความเสี่ยง "เลิกธุรกิจไม่ถนัด-ไม่ทำกำไร"

ทั้งนี้ ปตท.ได้ปรับแผนกลยุทธ์ของกลุ่มปตท. ซึ่งจะเน้นดำเนินธุรกิจที่ปตท. ถนัด เพื่อลดความเสียหายให้กับองค์กร ส่วนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร หรือเป็นธุรกิจที่ไม่เชี่ยวชาญ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ต้องลดสัดส่วนลงหรือหาพาร์ทเนอร์มาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกธุรกิจต้องดำเนินการ เพื่อร่วมขับเคลื่อน ปตท.ด้วยการเติบโตอย่างเข้มแข็ง ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วจะต้องเดินหน้า

สำหรับการลงทุนต้องเกิดประโยชน์ทั้งกับองค์กรและประเทศ จากสถานการณ์โลกที่ผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ปตท. จะต้องมีความคล่องตัว มี Agility ธุรกิจใดที่ดี ต้องเร่งต่อยอดขยายผล แต่หากธุรกิจใดที่เคยดี หรือไม่ perform แล้วกล้าที่ออกจากธุรกิจอย่างชาญฉลาดและรวดเร็วตามวิชั่นปี 2568 เพื่อดันให้ ปตท. ยั่งยืนในทุกมิติ ต่อยอดธุรกิจที่มีโอกาส ไม่เน้นกำไรระยะสั้น เลิกธุรกิจที่ไม่ Perform ทรานส์ฟอร์มองค์กรมุ่งสู่ธุรกิจใหม่สร้างความยั่งยืนในอนาคต เช่น

การปรับโครงสร้างการถือหุ้น Horizon Plus ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จํากัด (Arun Plus) กับบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จํากัด (Lin Yin) ในสัดส่วนการถือหุ้น 60% และ 40% ตามลําดับ (บริษัท อรุณ พลัส จํากัด เป็น บริษัทย่อยซึ่ง ปตท. ถือหุ้น 100%) โดยหุ้นใน Horizon Plus จะลดลงเหลือ 40% เป็นต้น 

ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อีกทั้งผู้ผลิตอีวีจีนเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยหลายแบรนด์ ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมียอดผลิตลดลง ทำให้ธุรกิจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมอีวีไทย ต้องปรับแผนลงทุนใหม่เช่นกัน

สอดรับกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2568 โดยโฟกัสอยู่ที่ธุรกิจหลัก 2 ด้าน คือ ธุรกิจก๊าซ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization) โดยผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ 

  • ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ Climate-Reilience Business 
  • ธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องคาร์บอน Carbon Conscious Business 
  • การร่วมมือ การสร้างสรรค์ เพื่อทุกคน Coalition, Co-creation & collective Efforts for All

ทั้งนี้ ปตท.จะเร่งผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CCS, ธุรกิจไฮโดรเจน เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม

เปิมเกมเดินตาม 3 ระยะวางแผนธุรกิจ    

นอกจากนี้ ปตท.ได้วางแผนธุรกิจไว้ 3 ระยะ คือ ระยะสั้น เน้นปรับโครงสร้างธุรกิจที่ไม่ใช่คาร์บอน และบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ในประเทศเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในกลุ่มธุรกิจ ตั้งเป้าลดต้นทุน เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ราว 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ ตั้งเป้าลดต้นทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ 2,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 2 ปี

ระยะกลาง เน้นปรับโครงสร้างธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม และการกลั่น ผ่านการจัดหาพันธมิตรมาร่วมธุรกิจ ซึ่งธุรกิจส่วนนี้แม้อยู่ขาลงแต่ ปตท.มองโอกาสทำให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง และมองว่ายังเป็นธุรกิจที่ต้องดำเนินต่อเพื่อความมั่นคง รวมทั้ง ปตท.มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางก๊าซธรรมชาติเหลวของภูมิภาค (LNG Hub) 

ระยะยาว จะเน้นลงทุนระบบการจัดการ และกักเก็บคาร์บอน เพื่อหนุนเป้าหมายมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ซึ่ง ปตท.บริษัทแม่ตั้งเป้าหมายทำได้ 10,000 ล้านบาท ที่เหลือ 20,000 ล้านบาท เป็นเป้าหมายบริษัทในเครือ

สร้างประโยชน์ให้ "ปตท-สังคม-เศรษฐกิจ-ประเทศ"

นอกจากนี้ อีกสิ่งสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน การทำธุรกิจ และการบริหารจัดการต้องโปร่งใส ทำเรื่องบรรษัทภิบาลอย่างจริงจัง สิ่งสำคัญมากๆ คือ “บุคลากร” ซึ่ง ปตท.มีบุคลากรที่เก่ง มีความรู้ ความสามารถ ต้องสร้างพลังให้เกิดความร่วมมือร่วมใจพาองค์กรก้าวผ่านทุกความท้าทาย สร้างโอกาสที่ดียิ่งขึ้นเพื่อส่งต่อให้ "ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”

อย่างไรก็ตาม จากภารกิจ ปตท.ยังคงมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บริหารต้นทุนราคาที่เป็นธรรมดานโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน พร้อมเดินหน้าในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรับกับเมกะเทรนด์โลก 

“ปตท.ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานคนไทย ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานที่สะอาดมากขึ้น สิ่งสำคัญจะต้องสมดุลระหว่างด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะประเทศไทยยังต้องสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ราบรื่นจะต้องบาลานซ์ทั้ง 3 องคาพยพ”

สร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ดังนั้น ความสำเร็จของ ปตท. จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งภาครัฐ สังคมชุมชน ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้าและคู่ความร่วมมือ กรรมการและพนักงาน เพื่อสร้างพลังให้เกิดความร่วมมือก้าวผ่านทุกความท้าทายและร่วมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

โดย ปตท. ได้ทบทวนยุทธศาสตร์การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยวิสัยทัศน์การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปี 2568 คือ “เป็นองค์กรแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล สู่การเติบโตในสังคมโลกอย่างยั่งยืน” เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ License to Operate หรือเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 

ปตท. มีทิศทางกลยุทธ์การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คือ “เข้าใจ เข้าถึง พึ่งพากัน” โดย “เข้าใจ” เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการสื่อสาร “เข้าถึง” เป็นการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมและผลักดันสู่การปฏิบัติโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกการดำเนินงาน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ “พึ่งพากัน” เป็นการพัฒนาเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งมีขอบเขตครอบคลุมถึง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 6 กลุ่ม ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง และร่วมทุน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

สะท้อนวิสัยทัศน์ ครบทุกมิติอย่างสมดุล

ปตท.ถือเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล บริหารองค์กรด้วยความโปร่งใส มีการกำกับดูแลที่ดีมีธรรมาภิบาลตาม Vision ปี 2568 สู่เป้าหมายเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ดังนั้น จากวิสัยทัศน์ของนายคงกระพัน ที่ได้ให้แนวคิดการบริหารธุรกิจ ประกอบด้วย "บริหารธุรกิจแบบยั่งยืนในทุกมิติ” ดังนั้น การที่องค์กรจะดำเนินไปได้ ธุรกิจจึงต้องมีกำไร ซึ่งจะต้องเป็นกำไรที่เหมาะสม และยั่งยืน ไม่เน้นกำไรระยะสั้น รวมถึงธุรกิจต้องเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ช่วยสังคมไทย ผู้ประกอบการ SME และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ทั้งนี้ ปตท.มีแผนลงทุนระยะ 5 ปี (2568-2572) ภายใต้กรอบการลงทุน 55,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนปีนี้ 25,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขยายโรงแยกก๊าซ ขยายธุรกิจท่อก๊าซ ธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ และเน้นธุรกิจที่เชี่ยวชาญ รองลงมา คือ ขยายกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง โดยปีนี้ไม่มีแผนลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจใหม่

สำหรับกําไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1/2568 มีจํานวน 23,315 ล้านบาท ลดลง 5,653 ล้านบาท หรือ 19.5% จากกําไรสุทธิ จํานวน 28,968 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2567 จาก EBITDA ที่ลดลงตามกล่าวข้างต้น แม้ว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง ประกอบกับใน 1/2568 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจํา (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตาม สัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 200 ล้านบาท

ส่วน EBITDA ในไตรมาส 1/2568 ปตท.และบริษัทย่อยมีจํานวน 93,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  236 ล้านบาท หรือ 0.3% จาก ไตรมาส 4/ 2567 ที่จํานวน 93,291 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิ โตรเคมีและการกลั่น โดยธุรกิจปิโตรเคมี มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากต้นทุนวัตถุดิบที่ดีขึ้นและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มโอเลฟินส์ที่ปรับเพิ่มขึ้น