เปิดข้อเสนอ 6 ค่ายรถ ‘ญี่ปุ่น-จีน-ยุโรป’ ยื่นรัฐบาลหนุน xEV ควบคู่รถสันดาป

เปิดข้อเสนอของ 6 ค่ายรถแบรนด์ "ญี่ปุ่น จีน และยุโรป" ยื่นรัฐบาลหนุน xEV ควบคู่กับรถสันดาป ย้ำ ระหว่างเปลี่ยนผ่านต้องสร้างความคุ้นเคยให้ลูกค้าเริ่มทดลองใช้จากไฮบริดก่อน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดเวทีเสวนา “Shaping the Future of xEV in Thailand – Opportunities for Innovation and Growth” โดยมี 6 บริษัทชั้นนำด้านยานยนต์โลกจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ได้แก่ MERCEDES-BENZ,BMW,TOYOTA,HONDA,MG และCHANGAN ร่วมแลกเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา xEV
นายมาร์ติน ชเวงค์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัท เริ่มลงทุน และมีสินค้ามากมายในไทย โดยเฉพาะ BEV ซึ่งผู้บริโภคยังลังเลที่จะใช้ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนทิศทางนโยบาย ลูกค้าอาจยังอนุรักษนิยมจึงมองปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) โตได้ เมื่อลูกค้าคุ้นเคยอีวีมากเท่าไร ตลาดจะเกิดขึ้นจึงใช้ PHEV เจาะตลาด
“ให้ความสำคัญกับแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นโรงงานแรกในยุโรปที่ทำแบตเตอรี่ และมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำให้ยั่งยืนทั้งการประหยัดพลังงาน การติดตั้งโซลาร์ รวมถึงการนำยางเก่ามารีไซเคิลด้วย อีกทั้งการทำกฎระเบียบที่ถูกต้องนั้นสำคัญ และต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกจ้างด้วย”
ทั้งนี้ สิ่งที่อยากฝาก คือ 1.ขอให้รัฐบาลไทยมีทิศทางชัดเจนถึงนโยบายรถ xEV ที่เปิดให้ร่วมรับฟังข้อเสนอร่วมกัน 2.บริษัท มีส่วนมาก เช่น ภาษีที่จ่ายให้รัฐบาล และด้วยรถที่มีราคาสูง จึงอยากให้กฎกติกามีมาตรฐานเดียวกับ EU ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และ 3.ลดกำแพงการค้า และทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อผลิต และส่งออกรถมากขึ้น
นายเรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทพัฒนาโมเดลใหม่เพื่อรับเทรนด์โลก โดยผสมผสานรถสันดาป อีวี และไฮบริด หากแวลูเชนยังไม่กรีนก็ไม่มีประโยชน์จึงต้องดูตลอดห่วงโซ่ถือเป็นความท้าทาย เช่น หากอยู่ในอุตสาหกรรมเหล็กก็ต้องกรีนด้วยจึงต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วย
ทั้งนี้ บริษัท ผนวกความยั่งยืนมาเป็นส่วนหนึ่งในระดับโลกทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการทำตามกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งปี 2030 จะลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 40 ล้านตัน ถือเป็นส่วนหนึ่งของแวลูเชน และซัพพลายเชน และมี BMW i ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล 100% ทั้งแวลูเชน
“อยากให้รัฐออกแบบนโยบายให้ยืดหยุ่นตอบโจทย์สถานการณ์ต่างๆ เพราะโลกเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะในไทยอย่างเดียว ควรฟังตลาดโลกตอบสนองผู้ที่ผลิตน้อยอย่าง BMW ซึ่งรัฐต้องไม่ละเลยผู้ผลิตน้อยที่นำเทคโนโลยี และนำเข้ารถมาเยอะแต่ต้องจ่ายภาษีสูงด้วย”
นายโคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัท มีเป้าหมายเดียวกับรัฐบาลไทย โดยปี 2050 ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่ใช่เฉพาะผลิตรถ แต่ในแง่สินค้าคาร์บอนต่ำ ต้องสร้างความสะดวกลูกค้า เช่น ทำให้รถรุ่นใหม่ราคาเท่ารุ่นเดิมที่เป็น ICE จึงต้องมีนวัตกรรมค่อนข้างก้าวกระโดด
ทั้งนี้โชคร้ายที่ยังไม่มีเทคโนโลยีไปสู่จุดนั้นจึงคิดว่าทางแก้ดีที่สุดสำหรับลูกค้า และสู่โลกร้อนคือ รถไฮบริด ซึ่งไม่ได้ช่วยแค่ด้านสิ่งแวดล้อมแต่ยังขับสนุก
อย่างไรก็ตาม รถไฮบริดเติบโตทุกประเทศ ดังนั้น ซัพพลายเชนถือเป็นหัวข้อที่ใหญ่ ในขณะเดียวกันแบตเตอรี่ หรือมอเตอร์ถือเป็นต้นทุนครึ่งหนึ่งของราคารถ จึงต้องมีแบตเตอรี่ที่ทน และจะทำอย่างไรให้ผลิตในท้องถิ่นได้ จึงอยากขอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ พัฒนาทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะด้านไอที และเร่งสร้างอีโคซิสเต็ม ซัพพลายเชน อินฟราสตรัคเจอร์ พัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างคนเก่งอย่างยั่งยืนเพื่อให้มีแรงงานที่มีศักยภาพสูงมาสู่อุตสาหกรรมไทย
นายโนริอากิ ยามาชิตะ ประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถ HEV จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น โตโยต้าจะให้ข้อเสนอแนะกับลูกค้า รวมถึงการลงทุนในไทยเพื่อขาย และส่งออก ซึ่งรถไฮบริดขายดีขึ้นโดยเฉพาะในไทยที่ขยายตัวได้ดีกว่าประเทศอื่น
ดังนั้น BEV จึงค่อนข้างสำคัญ แต่ลูกค้าชอบไฮบริดมากกว่า และเป็นเทคโนโลยีสำคัญ โดยไทยยังเป็นฮับรถกระบะ และโตโยต้าจะทำรถกระบะอีวีเพื่อขายในไทยและส่งออก
“เราจะมีโลคอลคอนเทนต์มากขึ้น จากรถกระบะ และรถอีโคคาร์จะขยายตัวมากกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะการส่งเสริมจากรัฐบาล ซึ่งตลาดไทยมีการหดตัว ดังนั้น เพื่อพัฒนา HEV และซัพพลายเชนจะต้องฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ การสนับสนุนรัฐบาลจึงสำคัญ โตโยต้าจะพยายามทำงานกับซัพพลายเออร์เพื่อให้มีการสนับสนุนโลคอลคอนเทนต์มากขึ้น”
นายกวน ซิน รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฉางอาน ออโตโมบิล เซาท์อีสต์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ฉางอานจะเปิดโรงงานในไทยวันที่ 16 พ.ค.2568 การที่ตลาดรถอีวีจะเติบโตต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ และดีมานด์สิ่งแวดล้อมว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายอะไร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ บริษัทจะมุ่งสู่บริษัทสำหรับการเดินทางที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
“ระยะยาวมีแผนพัฒนาโรงงานเพื่อซัพพลายให้ตลาดโลก ซึ่งความท้าทายที่เจอในตลาดไทยคือ ต้นทุน ทักษะลูกจ้าง อนาคตยังมีข้อจำกัด ยังขาดเทคโนโลยีใหม่ ถือเป็นความท้าทาย จึงต้องนำซัพพลายเออร์จีนเข้ามาก่อน ดังนั้น จึงต้องโปรโมตความร่วมมือระหว่างไทย และจีน เพื่อช่วยโลคอลซัพพลายเออร์พัฒนา และหากจะให้อีวีไทยประสบความสำเร็จต้องทำโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ"
นายสุโรจน์ แสงสนิท รองประธานบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า การทรานฟอร์มจากรถสันดาปมาอีวี เพื่อลดคาร์บอนต้องขยับมาไฮบริดก่อนแล้วอาจไปไฮโดรเจนได้ หรืออาจมีเทคโนโลยีอื่นมาทดแทน บริษัท อยู่มา 12 ปี มีแพลตฟอร์มมากมาย จึงมองว่าจึงควรทยอยขยับ และไม่ทิ้งรถสันดาปจึงผลิตเวอร์ชั่นใหม่ของไฮบริดที่ใช้อีโคคาร์
ทั้งนี้ การสนับสนุนโลคอลคอนเทนต์ 40% ต้องพัฒนาซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนทั้งแบตเตอรี่ โดยภายใต้สงครามการค้ายังมีโอกาสส่งออก แต่เมื่อส่งไปยุโรปอาจนับเป็นรถจีน และเก็บภาษีนำเข้าเท่าจีน จึงต้องผสมกับไทยเพื่อทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ไทย ดังนั้น จึงต้องอัปสกิลให้โลคอลคอนเทนต์เพิ่มอีกระดับ ทั้งซอฟต์แวร์ ระบบเซนเซอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นซัพพลายเชนบริษัท
“เพื่อให้ยานยนต์ไทยสู่เป้าหมาย นโยบายจึงสำคัญ จึงอยากให้รัฐสนับสนุน เพราะตลาดยานยนต์หดจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารอยากปล่อยแต่มีปัญหารัฐบาลต้องทำงานหนักเรื่องหนี้ครัวเรือน อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังใช้รถสันดาปจึงอยากให้เปลี่ยนมาใช้อีวี รวมถึงเพิ่มสถานีชาร์จด้วย อีกทั้งช่วง 10 ปีข้างหน้าจะมีแบตเตอรี่มากจึงต้องการให้รัฐเตรียมแก้ปัญหา”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







