พิชัย มั่นใจ 5 ข้อเสนอส่งถึง USTR  โดนใจสหรัฐฯ หวังลดภาษีเหลือ 10%

พิชัย มั่นใจ 5 ข้อเสนอส่งถึง USTR  โดนใจสหรัฐฯ หวังลดภาษีเหลือ 10%

‘พิชัย‘ มั่นใจ 5 ข้อเสนอไทยที่ส่งถึง USTR  โดนใจสหรัฐฯ มุ่งลดเกินดุล เพิ่มการนำเข้า และลงทุนในสหรัฐฯ เชื่อลดภาษีจาก 36% เหลือแค่ระดับพื้นฐานที่เก็บ 10%

วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568) เวลา 13.00 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้าการเจรจานโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

ว่าความคืบหน้าล่าสุดที่ทางประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอให้ทางสหรัฐฯ ผ่านการยื่นหนังสือโดยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ถึง นาย Jamison Greer ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ (USTR) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 โดยเนื้อหา ได้เสนอกรอบการหารือที่ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานนโยบายการค้า และผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว  ซึ่งประกอบไปด้วยการเจรจา 5 ประเด็นหลัก

1. ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย- สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาดำเนินการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและมิใช่ภาษี

2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ โดยปลัดกระทรวงพลังงานพร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ได้เดินทางไปรัฐอลาสกา เพื่อหารือกับผู้ว่าการรัฐอลาสกา รวมถึงบริษัทด้านพลังงานของสหรัฐฯ เพื่อหาโอกาสและเพิ่มความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทย – สหรัฐฯ

3. การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย เช่น  ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

4. การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งไทยได้เริ่มการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายแล้วอย่างจริงจัง

5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยขณะนี้ ดร.นลินี ทวิสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย รวมถึงภาคเอกชนชั้นนำของไทย อยู่ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อเข้าร่วมงาน Select USA Investment Summit 2025 เพื่อไปดูลู่ทางการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วย

ล่าสุดนายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Mr. Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีเป็นบวกต่อข้อเสนอของไทย โดยได้พูดถึงประเทศไทย ในการขึ้นเวที Saudi Arabia Investment Forum เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568

โดยจากการที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ มีท่าทีเป็นบวก และกล่าวว่าเป็นข้อเสนอที่ดี แบบเดียวกับที่พูดถึงข้อเสนอของประเทศอินโดนีเซีย และไต้หวัน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสัญญาณบวกจากระดับนโยบายของ สหรัฐฯ และคาดได้ว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในระดับ working level ให้พิจารณาในรายละเอียดต่อไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณในการดำเนินการต่อไป

"สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ พิจารณาให้ความสำคัญ และพร้อมที่จะหารือเพื่อหาข้อยุติในส่วนของมาตรการภาษีต่างตอบแทน และจะ นำไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ต่อไป" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพูดคุยกับสหรัฐฯภายในเดือน พ.ค.นี้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า มีหลายประเทศ ซึ่งจากที่เห็นวิธีการ เขาจะพยายามตกลงกับประเทศใหญ่ๆ ก่อน เพราะจะมีเงื่อนไขจำนวนมาก  มีสินค้าหลายประเภท เราพอจะเดาได้ว่าเมื่อมีหลักใหญ่ๆ ของหลายประเทศ เขาก็จะใช้เป็นกรอบ อาจใช้เป็นแนวทางในเรื่องแบบเดียวกัน ในส่วนของเราสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่มีมาก เพราะในส่วนที่เราโฟกัสเข้าไปเรื่องของการนำเข้าสินค้าเกษตรที่เขาต้องการส่งออก ก็ตรงกัน

ส่วนที่จะคุยเมื่อไหร่นั้น ตนเชื่อว่า ในระดับเจ้าหน้าที่ทราบแล้ว ถ้าคุยแล้วนอกเหนือจากนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เชื่อว่า เขาคงรอเวลา เพราะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานจริงๆ ในส่วนของ USTR มีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ 200 กว่าคน ต้องแบ่งงานกันทำ จึงขึ้นอยู่กับว่า จะคุยกันเมื่อไหร่

 เมื่อถามถึงการพูดคุยในระดับรัฐมนตรี นายพิชัย กล่าวว่า จากที่ดูตอนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ  เดินทางไปต่างประเทศเยอะ ถ้ามีจังหวะดีๆ ท่านก็คงจัดคิวดูว่า ใครจะอยู่ในกลุ่มที่จะเข้าไป ซึ่งหวังว่า จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะในระยะเวลา 90 วันที่ให้ไว้ขณะนี้ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว

 เมื่อถามถึงการลงทุนในสหรัฐฯ เป็นสินค้าประเภทไหน นายพิชัย กล่าวว่า สิ่งที่เราจะไปลงทุนต้องมีลักษณะ 2 อย่างคือ 1.เรามีขีดความสามารถที่จะดำเนินการ ซึ่งในระยะหลังเรามีความสามารถในด้านกระบวนการผลิตและบริการในส่วนของรถยนต์ และ2.สิ่งที่เรามีความชำนาญ และต้องการนำเข้า ซึ่งต้องดูว่า นอกจากนำเข้าแล้วเราไปลงทุนร่วมได้หรือไม่

เมื่อถามว่า ขณะนี้ภาษีจีนอยู่ที่ 30% แต่ของไทยอยู่ที่ 36% มีความกังวลเรื่องนี้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตัวเลขเหล่านั้นสะท้อนได้ 2 เรื่อง โดยคำนึงถึงขนาดเศรษฐกิจ คำนึงแต่สัดส่วนที่ประเทศคู่ค้าได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปลดสัดส่วนการดุลการค้าได้แน่นอน และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เมื่อลดการขาดดุลได้ตนคิดว่า ตัวเลขก็ไม่น่าจะอยู่อย่างนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ ยังเป็นไปตามเป้าหมายเดิมหรือไม่ คือ การลดการเกินดุล 5% ใน 5 ปี นายพิชัย กล่าวว่า แน่นอน เมื่อเราทำแบบนี้ก็มานั่งเปรียบเทียบดูว่า มีอะไรเพิ่ม อะไรลด เราจะโชว์ให้เขาดูว่า การลดการขาดดุลใน 5 ปี มีเท่าไหร่ เพราะจริงๆ สิ่งที่จะมีผลเยอะคือ สิ่งที่จะนำเข้ามา เช่น ภาคปิโตรเคมี ภาคพลังงาน รวมถึงเครื่องบิน และเรามีข้อมูลให้ดูว่า สิ่งที่เกินดุลของสหรัฐฯ หลายบริษัทก็อาจจะนำสิ่งนี้มาพิจารณาด้วย

 

 เมื่อถามว่า คาดการณ์ตัวเลขภาษีจะอยู่ที่เท่าไหร่ นายพิชัย กล่าวว่า วันนี้ทุกคนได้แต่คาดเดาว่า สหรัฐฯต้องการตัวเลขภาษีเพิ่มขึ้น และมองเห็นตัวเลข 10% น่าจะใช้ขั้นต่ำเท่านี้ ซึ่งจะทำให้สินค้าบางประเภทมีอัตราที่เสี่ยงไป ในส่วนของเราสิ่งที่เกี่ยวข้องจริงๆ คือ สินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ ตนเชื่อว่า คงได้ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ เพราะตนก็ไม่เห็นประเด็นที่เราแตกต่างกับคนอื่น หากการเจรจาจบ เมื่อถามย้ำว่า คาดหวังที่ 10% ใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตนคิดว่า เกือบทุกชนิด สหรัฐฯคงคิดว่า น่าจะยืนอยู่ในระดับ 10%

 เมื่อถามว่า รัฐบาลมองว่า การทำงานในครั้งนี้ล่าช้าไปหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เราเป็นประเทศคู่ค้าที่ไม่ได้อยู่ในเทียร์ 1 และเราอยากฟังว่า เขาคุยอะไรกับประเทศใหญ่ๆ เพราะมีสินค้าบางชนิดที่เหมือนเรา ดังนั้น ถ้าพูดกันตามตรง เวลาที่เขายังไม่คุยเราก็อาจจะรู้สึกว่า ทำไมไม่คุยสักที แต่ถ้ามองไปแล้ว จะทำให้รู้ว่า เขาคุยอะไรกับคนอื่นบ้าง ซึ่งการคุยในจังหวะที่เหมาะสมน่าจะดีที่สุด ตนคิดว่า ไม่ช้า เพราะคงจะจบไล่ๆ กัน ตนมองทางนั้นก็คงอยากเห็นทุกอย่างจบในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

เมื่อถามถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งนายพิชัย ให้รักษาการแทน รมว.การต่างประเทศ เกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐฯแบนวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่เป็นขั้นตอนปกติว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนไม่อยู่จะมีรัฐมนตรีรักษาการโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมาขอเป็นครั้งๆ