'พิชัย' ดันไทยฮับผลิต-ลงทุนอาเซียน BOI ปั้น EV-เซมิฯ รับมือภาษี

'พิชัย' ดันไทยฮับผลิต-ลงทุนอาเซียน BOI ปั้น EV-เซมิฯ รับมือภาษี

"พิชัย" มั่นใจศักยภาพไทย ขึ้นแท่นฮับผลิต-ลงทุนภูมิภาค อาเซียน งาน "ซับคอนไทยแลนด์" จับคู่ธุรกิจ ขยายโอกาส SME สู่ตลาดโลก "บีโอไอ" ยันรัฐบาลเดินหน้าปั้น EV, เซมิคอนฯ รับเศรษฐกิจสีเขียว-ดิจิทัล คาดว่าจะเกิดมูลค่าการเชื่อมโยงกว่า 20,000 ล้านบาท มั่นใจไทยมีความพร้อมรับมือผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ชี้ไทยเนื้อหอม นักลงทุนโยกฐานผลิตซบไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดงาน “ซับคอนไทยแลนด์” ควบคู่กับงาน “อินเตอร์แมค-พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2025 ว่า การจัดงานครั้งนี้สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการจัดแสดงนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ต่อยอดเครือข่าย พัฒนาความร่วมมือ และขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดสากล

โดยรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการผลักดันอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และพลังงานสะอาด เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งภายในประเทศ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว และยังคงเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลกสู่ระบบสีเขียวและดิจิทัล

'พิชัย' ดันไทยฮับผลิต-ลงทุนอาเซียน BOI ปั้น EV-เซมิฯ รับมือภาษี

“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ประเทศไทยยังคงมีโอกาสมหาศาลในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง Subcontracting & Supply Chain Hub แห่งภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเชื่อมั่นว่า งานซับคอนไทยแลนด์ 2025 งานอินเตอร์แมค และงานพลาสติกแอนด์รับเบอร์ไทยแลนด์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการผลิตที่ยั่งยืนในระดับโลกได้อย่างแท้จริง”

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนและการรับช่วงการผลิตมาโดยตลอด โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ให้มั่นคงและยั่งยืน คือการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) ของประเทศให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทย และเอสเอ็มอีได้มีบทบาทในระบบอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต

'พิชัย' ดันไทยฮับผลิต-ลงทุนอาเซียน BOI ปั้น EV-เซมิฯ รับมือภาษี

โดยงานซับคอนไทยแลนด์จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 ถือเป็นเวทีเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อรายใหญ่ การเจรจาจัดซื้อชิ้นส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ และกิจกรรมตลาดกลางซื้อขายที่เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ และที่สำคัญในปีนี้ เรายังเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเปิดพื้นที่ "xEV Sourcing Zone" เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน (Tier 1) จัดแสดงชิ้นส่วนที่ต้องการจัดซื้อ

และกิจกรรมสัมมนาภายใต้ธีม Shaping the Future of xEV in Thailand-Opportunities for Innovation and Growth ที่เชิญผู้นำระดับสูงจากค่ายรถชั้นนำ มาร่วมแลกเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา xEV และบทบาทของไทยในเวทีโลก โดยปีนี้รวมเทคโนโลยีกว่า 1,500 แบรนด์จาก 45 ประเทศไว้ในพื้นที่เดียวกัน คาดว่าจะเกิดมูลค่าการเชื่อมโยงกว่า 20,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บีโอไอได้สนับสนุนบริษัทรถยนต์ที่ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ผลิตที่รับการส่งเสริม EV3.0 ได้เริ่มผลิตชดเชยตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งกำลังผลิตรถอีวีในไทยทั้งหมดยอดรวมมากกว่า 4 แสนคัน แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ถือว่าไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลัง เนื่องจากตลาดอีวีในไทยและส่งออกยังไม่ฟื้นตัว ยอดผลิตจริงเป็นอีกประเด็นที่ต้องขึ้นกับสถานการณ์ของตลาดด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้ก็พยายามหาตลาดส่งออกด้วย เพราะฉะนั้นหากตลาดมีการฟื้นตัวได้ดีกว่านี้ รวมทั้งตลาดส่งออกด้วยก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสที่จะมีการผลิตในปริมาณที่เพียงพอ 

'พิชัย' ดันไทยฮับผลิต-ลงทุนอาเซียน BOI ปั้น EV-เซมิฯ รับมือภาษี

ส่วนผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เฉพาะรถยนต์ นั้น จริงๆ แล้วภาษีของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และบีโอไอยังเชื่อว่าผลของการเจรจาจะเป็นผลที่ดีของภาคอุตสาหกรรม โดยในแง่ของบีโอไอก็กำลังหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมนโยบายและมาตรการด้านภาษีนำเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดบีโอไอในวันที่ 19 พ.ค. 2568 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ออกมาเพื่อจะรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งทิศทางของโลกที่เกิดขึ้นด้วย ดังนั้น มาตรการที่ออกมาจะช่วยส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับสถานการณ์ในโลกยุคใหม่ได้ ซึ่งมีทั้ง 2 ส่วน คือส่วนที่ปรับใหม่จากเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่ด้วย

"จากนโยบายกระทรวงการคลังที่ว่า ต่อไปนี้การลงทุนจะดูที่สัญชาติไม่ได้ดูที่โลโคคอนเทนท์เป็นหลัก ซึ่งจะมีส่วนในการพิจารณาเพื่อลงทุนด้วย ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่บีโอไอพยายามทำมาตรการในช่วงมที่ผ่านมา คือมาตรการด้านการลงทุนระหว่างต่างชาติและคนไทย เพราะเมื่อบีโอไอเดินทางไปเชิญชวญต่างชาติมาลงทุนโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี ก็อยากให้คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีในบริษัทที่จัดตั้งในประเทศไทย และกำลังพิจารณาแนวทางเพื่อขยายไปอุตสาหกรรมอื่นนอกจากยานยนต์ที่ได้ออกมาแล้ว"

ส่วนข้อเสนอแนะที่จะสนับสนุนการลงทุนหลักๆ จะมีเครื่องมือ 3 ส่วน คือ 1. บีโอไอ ถือเป็นเครื่องมือด้านบริการ เช่น การจัดหลักสูตรเทรนนิ่งผู้ประกอบการในการลงทุนซึ่งทำต่อเนื่องมากว่า 20 รุ่นแล้ว เพื่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ไปถึงหน่วยงานราชการปลายทาง 2. กระทรวงการคลัง สนับสนุนด้านภาษี ซึ่งถ้าการลงทุนต่างประเทศแล้วมีกำไรกลับมาจะมีเงื่อนไขต่างๆ เช่นต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่าสัดส่วนที่กำหนด และต้องไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น และ 3. เครื่องมือทางการเงิน โดย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิม แบงก์) จะมีเครื่องมือในการช่วยสนับสนุนด้านเงินทุนต่างๆ ซึ่งทั้ง 3 ส่วนทำงานร่วมกัน 

นอกจากนี้ ยังมีส่วนสนับสนุนปลายทาง คือ สถานทูตที่มีทั้งทูตพาณิชย์ และสำนักงานบีโอไอ เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนปลายทางด้วย เช่น ประเทศเป้าหมายต่างประเทศที่สำคัญของสหรัฐ คือ อาเซียน บีโอไอก็จะมีออฟฟิศที่ไปตั้งในเวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นต้น รวมถึงตะวันออกกลางที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพสูงเป็นกลุ่มประเทศที่มีคนไทยไปลงทุนสูง 

"ยังมั่นใจว่ายอดการลงทุนในปีนี้น่าจะมีแนวโน้มที่ดี แม้จะมีเรื่องของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เพราะท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสที่ไทยยังเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความพร้อม ซึ่งไทยเป็นประเทศที่ไม่มีความขัดแย้งกับใคร รวมถึงความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน บุคลากร มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มีไฟฟ้าที่เสถียรและมีศักยภาพในการจัดหาไฟฟ้าได้เพียงพอ มีไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด รวมทั้งมีที่ดินที่รองรับอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ถือเป็นจุดแข็งที่ประเทศไทยเมื่อนักลงทุนต้องการย้ายฐายการผลิตจะเริ่มต้นธุรกิจจะรวดเร็วได้ที่ไทยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์"