'การคลัง' ยุคใหม่ พลิกบทบาท 8 ประเด็นใหญ่ท้าทายเศรษฐกิจโลก

'การคลัง' ยุคใหม่ พลิกบทบาท 8 ประเด็นใหญ่ท้าทายเศรษฐกิจโลก

ในอดีตกระทรวงการคลังเน้นทำหน้าที่พื้นฐานที่จำเป็นต่อการบริหารประเทศ ได้แก่ การจัดเก็บรายได้ผ่านภาษีต่างๆ เช่น ภาษีสรรพากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร รวมถึงการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน และการกำกับดูแลสถาบันการเงินของรัฐ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง วางแนวทางการดำเนินการหลังจากนี้ให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ โดยกระทรวงการคลังมีแผนงานที่จะมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี และการให้บริการประชาชน 

ทั้งนี้ การใช้ข้อมูลมาเป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร (data-driven organization) จะเป็นแนวทางสำคัญที่นำข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ในการออกแบบเชิงนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะมีการสร้างบุคลากรของกระทบวงคลังให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น

รวมทั้งภารกิจสำคัญของกระทรวงการคลังในการบริหารการคลังของประเทศ โดยขณะนี้ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างดำเนินการการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้รัฐ โดยปัจจุบันการจัดเก็บรายได้รัฐอยู่ที่ 12-13% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

กระทรวงการคลังมีความพยายามปรับโครงสร้าง ภาษี เพิ่มฐานการจัดเก็บภาษีให้ได้ 18% ของ GDP นั้น เท่ากับเพิ่ม 5% คิดเป็นเงิน 800,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบประมาณขาดดุลปี 2568 ดังนั้นหากสามารถกระทรวงการคลังสามารถเพิ่มการจัดเก็บรายได้เป็นสัดส่วน 18% ของ GDP จะส่งผลให้การจัดทำงบประมาณสมดุลได้ จึงถือเป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับการทำงานของกระทรวงการคลังหลังจากนี้

'การคลัง' ยุคใหม่ พลิกบทบาท 8 ประเด็นใหญ่ท้าทายเศรษฐกิจโลก

การดำเนินการของ กระทรวงการคลัง จึงได้ขยายขอบเขตการทำงานให้กว้างขึ้นและทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยใช้เครื่องมือทางการคลังเป็นกลไกในการพัฒนาประเทศ นอกเหนือจากบทบาทพื้นฐานแล้ว บทบาทที่เพิ่มขึ้นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ได้แก่

1. การกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายการคลัง จากเดิมที่เน้นการบริหารงบประมาณตามแผน ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการคลังเพื่อ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงชะลอตัว หรือมาตรการรักษาวินัยทางการคลังในช่วงเศรษฐกิจดี รวมถึงการกำหนดนโยบายภาษีเพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจและสังคม

2. การบริหารจัดการหนี้สาธารณะเชิงกลยุทธ์ โดยไม่ใช่แค่การกู้และจ่ายคืน แต่จะเป็นการบริหารพอร์ตโฟลิโอหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดการความเสี่ยง และคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

3. การกำกับดูแลและพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยปรับเปลี่ยนจากการดูแลทั่วไป เพื่อให้พัฒนามาสู่การกำกับดูแลอย่างเข้มข้น เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ธรรมาภิบาล และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ ผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)

4. การพัฒนาระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) เพื่อตอบรับยุคดิจิทัล โดยให้มีบทบาทในการส่งเสริมและวางโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และการรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีทางการเงิน

'การคลัง' ยุคใหม่ พลิกบทบาท 8 ประเด็นใหญ่ท้าทายเศรษฐกิจโลก

5. การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการคลัง เพื่อเป็นการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของรัฐได้ เช่น ความเสี่ยงจาก หนี้สาธารณะ ความเสี่ยงจากสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

6. การส่งเสริมการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้มาตรการทางการคลัง เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย

7. การบูรณาการนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อใช้เครื่องมือทางการคลัง เช่น ภาษี สวัสดิการสังคม หรือโครงการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

8. การรับมือกับประเด็นระดับโลก โดยกระทรวงการคลังเข้าร่วมและมีบทบาทในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศด้านภาษี การเงินและการคลัง เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM)

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเปลี่ยนจากหน่วยงานที่เน้นการบริหารจัดการแบบตั้งรับตามกรอบกฎหมายและงบประมาณ มาสู่หน่วยงานเชิงรุกที่เป็นผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจ ใช้เครื่องมือทางการคลังเพื่อแก้ปัญหาและสร้างโอกาส และต้องเผชิญกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจากโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี และความคาดหวังของประชาชนที่หลากหลายมากขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังมีบทบาทในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจจำนวนมากในภาคส่วนสำคัญต่างๆ เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) สาธารณูปโภค การขนส่ง ซึ่งเป็นอีกกลไกสำคัญในการดำเนินนโยบายและการพัฒนาประเทศ

ทั้งนี้ หากพิจารณาการจัดโครงสร้างของ กระทรวงการคลัง แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 กลุ่มภารกิจที่มีความหลากหลายและประกอบด้วยหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยมีสำนักงานปลัดกระทรวงการคลังทำหน้าที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนกลางด้านการบริหารงานธุรการ การประสานงานนโยบายระหว่างหน่วยงานการต่างประเทศ การบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาระบบราชการภายในกระทรวง ดังนี้

1. กลุ่มกรมจัดเก็บรายได้ กรมสรรพากร รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีซึ่งเป็นรายได้กว่า 80% ของการจัดเก็บรายได้รัฐ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรมสรรพสามิตรับผิดชอบการจัดเก็บภาษีจากสินค้าและบริการเฉพาะประเภท เช่น น้ำมัน สุรา ยาสูบ รถยนต์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นเครื่องมือส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน เช่น ภาษีความหวาน รวมถึงเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กรมศุลกากรรับผิดชอบการจัดเก็บภาษีอากรขาเข้า-ขาออก และการควบคุมสินค้านำเข้า-ส่งออก สกัดสินค้าผิดกฎหมาย รวมทั้งการอำนวยความสะดวกทางการค้า

2. กลุ่มกรมบริหารการคลังและทรัพย์สิน กรมบัญชีกลางรับผิดชอบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ การบัญชีภาครัฐการควบคุมรายจ่าย การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการภาครัฐ กรมธนารักษ์รับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพย์สินของแผ่นดิน และการผลิตเหรียญกษาปณ์ โดยเฉพาะที่ราชพัสดุกว่า 12.6 ล้านไร่ทั่วประเทศ ที่ยังมีอีกกว่า 1 ล้านไร่ ที่ยังสามารถบริหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้ อาทิ การทำโซลาร์ลอยน้ำ การยกระดับพิพิธภัณฑ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

3. กลุ่มสำนักงานด้านนโยบายและบริหารเฉพาะด้าน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ทำหน้าที่การวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจและการคลัง จัดทำประมาณการ และเสนอแนะนโยบายการคลังและเศรษฐกิจมหภาคที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ทำหน้าที่บริหารจัดการหนี้อย่างมืออาชีพบริหารจัดการหนี้สาธารณะทั้งหมด ทั้งการกู้ยืม การชำระหนี้ และการบริหารความเสี่ยงด้านหนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบ โดยมีการบริหารจัดการ และพัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล

'การคลัง' ยุคใหม่ พลิกบทบาท 8 ประเด็นใหญ่ท้าทายเศรษฐกิจโลก