“ค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย”พุ่งแรง อาหารสูงเท่าตัว-พลังงานเพิ่ม

สถานการณ์เศรษฐกิจไทย ที่เกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจโลกอยู่ไม่น้อย ทำให้เศรษฐกิจส่วนตัวของคนไทยโดยทั่วไปต้องอยู่บนความไม่แน่นอนตามทิศทางเศรษฐกิจโลกไปด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนเม.ย. 2568 เท่ากับ 100.14 เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.36 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง0.22% (YoY)นั้น นับเป็นตัวเลขเศรษฐกิจอาจพอให้คนไทยหายใจหายคอได้บ้างแต่หากพิจารณาข้อมูลค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เดือนเม.ย. 2568 เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์ จะพบว่า มีค่าใช้จ่ายรวมที่ 20,982 บาท ซึ่งสูงกว่าเดือนเม.ย. 2567 ที่ 18,187 บาท ซึ่งเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก
โดยเม.ย. 2568 สัดส่วนค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ อยู่ในหมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม อยู่ที่ 60.59% ขณะที่สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สัดส่วน 39.41% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายเมื่อเม.ย. 2567 หมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สัดส่วน 58.50% และ สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สัดส่วน 41.50%
ดังนั้น ต้องมาพิจารณาว่าสินค้ารายการใดที่เป็นต้นเหตุให้ค่าใช้จ่ายของคนไทยในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนใช้จ่ายสูงขึ้นเกือบเท่าตัวได้แก่ อาหารสำเร็จรูป(ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง KFC Pizza Delivery)ในเดือนเม.ย.2568 การใช้จ่ายในกลุ่มสินค้านี้อยู่ที่ 3,479 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ สัดส่วนการใช้จ่ายอยู่ที่ 1,651 บาทเท่านั้น จึงทำให้สัดส่วนการใช้จ่ายในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจาก 9.08% เป็น 16.58% ในช่วงเวลาเพียง 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มอาหารพบว่า สินค้าเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ มีมูลค่าการใช้จ่ายที่ลดลงจากปีก่อน ที่ 1,553 บาท ลดลงจาก 1,633 บาท ผักและผลไม้ อยู่ที่ 1,012 บาท ลดลงจาก 1061 บาท ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง อยู่ที่ 726 บาท เพิ่มขึ้นจาก 700 บาท เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อยู่ที่ 706 บาท เพิ่มขึ้นจาก 431 บาท ส่วนไข่และผลิตภัณฑ์นม อยู่ที่ 350 บาท ลดลงจาก 431 บาท เครื่องปรุงอาหาร อยู่ที่ 256 บาท ลดลงจาก 408 บาท และผลิตภัณฑ์น้ำตาล อยู่ที่ 179 บาท ลดลงจาก 403บาท
ด้านกลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร เดือนเม.ย. 2568 เทียบกับเม.ย.2567 ครัวเรือนไทย มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกรายการโดย กลุ่มค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน มูลค่า 5,150 บาท เพิ่มขึ้นจาก 4,267 บาท กลุ่มค่าโดยสารสาธารณะ ค่าชื้อยานพาหนะ ค่าน้ำมัน เชื้อเพลิง ค่าบริหารโทรศัพท์มือถือ อยู่ที่ 4,676 บาท เพิ่มขึ้นจาก 4,004 บาท กลุ่มค่าแพทย์ ค่ายา และบริการส่วนบุคคล อยู่ที่ 1,337 บาท เพิ่มขึ้นจาก 986 บาท กลุ่มค่าหนังสือค่าสันทนาการ ค่าเล่าเรือน และการกุศลต่างๆ อยู่ที่ 848 บาท เพิ่มขึ้นจาก765 บาท กลุ่มค่าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และรองเท่า อยู่ที่ 442 บาท เพิ่มขึ้นจาก 375 บาท และ กลุ่มค่าบุหรี่ ค่าเหล้า ค่าเบียร์ อยู่ที่ 261 บาท เพิ่มขึ้นจาก 244 บาท
“แม้ภาพรวมเงินเฟ้อจะลดลง แต่พบว่าค่าใช้จ่ายของประชาชนโดยเฉลี่ยต่อครัวเรือนไทยมีมูลค่าการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสำเร็จรูป แม้ว่ากลุ่มผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์จะมีมูลค่าการใช้จ่ายลดลงก็ตาม ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่ใช่อาหารกลับมีราคาสูงขึ้นในทุกกลุ่มสินค้าจนทำให้เม.ย. ปีนี้คนไทยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเดือนเกือบ 3 พันบาท”
ทั้งนี้สาเหตุที่เงินเฟ้อ เม.ย. 2568 ลดลง 0.22% เนื่องมาจาก กลุ่มพลังงาน ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน และค่ากระแสไฟฟ้า ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ ประกอบกับมีการลดลงของราคาผักสด และไข่ไก่ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนน้อยกว่าปีก่อน ขณะที่ราคาสินค้าอาหารบางชนิดปรับตัวสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร อาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหาร
สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการเดือนเม.ย. หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง1.45% (YoY) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงาน (แก๊สโซฮอล์ทุกชนิด น้ำมันเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า) ของใช้ส่วนบุคคล (แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แป้งทาผิวกาย) สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น) และเสื้อผ้า (กางเกงขายาวบุรุษ เสื้อยืดบุรุษ เสื้อเชิ้ตบุรุษ) ขณะที่มีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล ค่าเช่าบ้าน ค่าทัศนาจรต่างประเทศ และค่าแต่งผมบุรุษและสตรี
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.63% (YoY) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ (เนื้อสุกร ปลานิล ปลาทู กุ้งขาว) กลุ่มอาหารสำเร็จรูป (ข้าวราดแกง กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) น้ำอัดลม) กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) กะทิสำเร็จรูป) กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง (ข้าวสารเหนียว ขนมอบ) กลุ่มผลไม้สด (กล้วยน้ำว้า สับปะรด แตงโม มะพร้าวอ่อน) และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน น้ำตาลทรายแดง)
อย่างไรก็ตามมีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ผักสด (มะนาว ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักชี ผักกาดขาว พริกสด) ไข่ไก่ ส้มเขียวหวาน และไก่ย่าง
สำหรับสถานการณ์ราคาสินค้ากลุ่มอาหารปัจจุบันเทียบกับปี2567 ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ระบุว่า สุกรชำแหละ เนื้อสันใน ณ วันที่7 พ.ค.2568 กิโลกรัม (กก.) ละ 185-190 บาท สูงขึ้นจากวันที่ 8 พ.ค. 2567 ที่ 170-180 บาท
ถั่วฝักยาว ราคา 40-50 บาท ลดลงจาก 110-120 บาท ผักชี ราคา 70-80 บาท ลดลงจาก 180-200 บาท ผักคะน้า ราคา 70-80 บาทลดลงจาก 35-40 บาท ไก่สดชำแหละ น่อง สะโพก ราคา 75-85 บาท ลดลงจาก 80-85 บาท น้ำมันปาล์มสำเร็จรูป (1ลิตร/ขวด) ราคา 53-62 บาท เพิ่มขึ้นจาก 42-48 บาท
กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพ.ค. 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนเม.ย.2568 และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงทิศทางเดียวกัน
ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดราคาค่ากระแสไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 2568 ลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย ,ฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น และ การจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศปัจจุบันเท่ากับ 31.94 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น มะพร้าว มะขามเปียก กาแฟ เกลือป่น น้ำมันพืช และเนื้อสุกร เป็นต้น







