การเดินทางของ“ทุเรียน”ไทยไปจีน จากมาบตาพุดสู่ด่านชายแดน24ชั่วโมง

การเดินทางของ“ทุเรียน”ไทยไปจีน     จากมาบตาพุดสู่ด่านชายแดน24ชั่วโมง

การส่งออกทุเรียนเป็นรายได้สำคัญของประเทศไทย แม้ 1 ปี จะมีช่วงเวลาส่งออกที่จำกัดเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงถือเป็นเวลาทอง

ที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมกันทำให้การส่งออกคล่องตัว สะดวก รวดเร็วที่สุด สำหรับทุเรียนถือเป็นผลไม้ส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทยและเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกถึง 97%โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออกทุเรียนสดและแช่แข็งรวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดที่มีมูลค่าสูงสุดในเดือน พ.ค. 2567 ถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท

      นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมความพร้อมในการส่งออกทุเรียนช่วงฤดูกาลผลิต โดยได้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ในการหารือมาตรการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการขึ้นทะเบียนห้อง lab เพิ่ม และการขอทบทวนห้อง lab รวมทั้งการจัดเตรียมอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในการสนับสนุนในการส่งออก

“เนื่องจากในช่วงนี้ทุเรียนของไทยเข้าสู่ฤดูกาลผลิตสูง และมีความต้องการที่จะส่งออกไปยังประเทศจีนให้ทันเวลา จึงได้ประสานกับทางศุลกากรจีนให้กำชับด่านที่เกี่ยวข้อง โดยจะใช้วิธีการทำงานพิเศษตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน และตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งจีนจะทำงานร่วมกับไทยเพื่อสำรวจมาตรการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น การดำเนินการด้านจำแนกประเภท และการดำเนินการในพิธีการศุลกากรโดยเร่งด่วน ซึ่งจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออกทุเรียนของไทยไปยังจีน”

การทำงานอย่างใกล้ชิดของทั้งสองฝ่ายจะทำให้การส่งออกทุเรียนไทยในปีนี้เป็นไปอย่างราบรื่น กระทรวงเกษตรฯ ต้องขอขอบคุณ GACC และเจ้าหน้าที่ที่ได้ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการนำเข้าทุเรียนในปีนี้ ทั้งการจัดเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน 24 ชั่วโมงใน 7 วัน การขยายระยะเวลาในการเปิดปิดด่าน และการเพิ่มจำนวนห้อง lab ในการตรวจที่ด่านนำเข้าฝั่งจีน

ในส่วนของห้อง lab ตรวจวิเคราะห์หาสาร “Basic Yellow 2” ( BY2 ) ในทุเรียนสด ก่อนส่งออกไปจีนนั้น ปัจจุบันไทยมีห้อง lab ทดสอบสาร BY2 จำนวน 9 แห่ง จาก 10 แห่ง โดยได้ยื่นหนังสือขอให้แลป Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd. ที่จังหวัดฉะเชิงเทรากลับมามีคุณสมบัติอีกครั้ง (Resume) ไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลพิจารณาจากทางจีน แต่มั่นใจว่า lab 9 แห่งนั้นเพียงพอที่จะรองรับปริมาณทุเรียนจำนวนมากที่จะส่งออกไปจีนอย่างแน่นอน

สำหรับห้อง Lab 9แห่งประกอบด้วย 1.Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd.Chiangmai branch 2.Asia Medical and Agricultural Laboratory and Research Center Co., Ltd. 3.Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd.Songkhla Branch 4.Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd.Bangkok branch 5.Bureau Veritas AQ Lab (Thailand)Limited

6.Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd. (Khon Kaen Branch) 7.Intertek Testing Services (Thailand) Limited

8.Overseas Merchandise Inspection Co., Ltd.9.ALS Laboratory Group (Thailand) Co., Ltd.และ 10.Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd. Chachoengsao branch ที่อยู่ระหว่างยื่นขอรับการรับรองอีกครั้ง

พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนจากสถานีมาบตาพุดไปจีนโดยระบุว่า พิธีปล่อยขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการส่งออกทุเรียนในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยใช้เส้นทางมาบตาพุด–หนองคาย–จีน รวมระยะทางกว่า 1,750 กิโลเมตร

สำหรับทุเรียนถือเป็นผลไม้ส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทยและเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกถึง 97%โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออกทุเรียนสดและแช่แข็งรวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดที่มีมูลค่าสูงสุดในเดือน พ.ค. 2567 ถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าใน ปี 2568 ผลผลิตทุเรียนทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 37% จากปีก่อน คิดเป็นปริมาณรวมราว 1.767 ล้านตัน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากผลผลิตทุเรียนเติบโตขึ้นอีกในระดับเดียวกัน ทำให้ ขร.มองว่าการผลักดันขนส่งทุเรียนทางรางนั้นจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ประกอบการในการขนส่งสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศได้สะดวกและสามารถบริหารจัดการเวลาขนส่งได้อย่างแม่นยำ ทำให้ควบคุมคุณภาพของผลไม้ได้

“ทุเรียนไทยปีนี้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 30-40% ดังนั้นการขนส่งทางรางจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้ประกอบการขนส่งผลไม้ สินค้าเน่าเสียง่ายเหล่านี้ได้สะดวกมากขึ้น เพราะระบบรางสามารถจัดการเรื่องด่านศุลกากรได้สะดวกมากกว่าหากเทียบกับขนส่งทางรถยนต์ที่ปัจจุบันมีความแออัดบริเวณหน้าด่านศุลกากร”

สำหรับแนวโน้มการขนส่งผลไม้ทางราง พบว่าในปี 2566 ปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางระหว่างไทยไปยัง สปป.ลาว มีปริมาณการขนส่งมากถึง 708 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 17,700 ตันและในปี 2567 มีปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางจำนวน 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 27,700 ตัน จึงนับว่าการขนส่งผลไม้ทางรางนั้นเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี โดยเฉพาะเส้นทางจากมาบตาพุด – หนองคาย – ผ่าน สปป.ลาว ไปยังประเทศจีน เป็นหนึ่งในเส้นทางที่อำนวยความสะดวกเกษตร ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกที่เป็นแหล่งผลิตผลไม้ของไทย

นายพิเชฐ กล่าวด้วยว่าการผลักดันขนส่งสินค้าทางราง ขร.เชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นขนส่งหลักของประเทศ โดยปัจจุบันทราบว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีแผนจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,459 ล้านบาท เพื่อเข้ามาเสริมบริการขนส่งสินค้าซึ่งสถานะปัจจุบันเรื่องดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคมแล้ว และอยู่ระหว่างรอบรรจุวาระเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าหากได้รับการอนุมัติในปีนี้ รฟท.จะเริ่มขั้นตอนจัดหา และทยอยรับมอบได้ทันทีในปี 2569 ซึ่งล็อตแรกน่าจะรับมอบได้จำนวนประมาณ 200-300 คัน