จีน-สหรัฐบรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้า สัญญาณบวกต่อระบบการค้าโลก

จีน-สหรัฐบรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้า สัญญาณบวกต่อระบบการค้าโลก

การบรรลุข้อตกลงจีน-สหรัฐ กำแพงภาษีลด 115% 90 วัน ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลก ส่งออกและเศรษฐกิจไทยไตรมาสสองดีกว่าคาด แต่ไทยต้องเจรจาให้ภาษีต่ำกว่า 30%

รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การบรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้าของจีนและสหรัฐอเมริกา เป็น สัญญาณบวกต่อระบบการค้าโลกและเศรษฐกิจโลก 

การบรรลุข้อตกลงจีน-สหรัฐในการลดภาษีระหว่างกันลง 115% เป็นเวลา 90 วันทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อสินค้าจีนจะลดลงเหลือเพียง 30% ขณะที่ อัตราภาษีนำเข้าของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯจะลดลงเหลือเพียง 10% 

อัตราภาษีนำเข้าในระดับดังกล่าวจะทำให้การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปรกติ ส่งผลกระทบต่อปริมาณและมูลค่าการค้าต่อกันไม่มากนัก และ เป็นการปรับสมดุลทางการค้า ที่สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนจำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า อัตราภาษีระดับดังกล่าวจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ 90 วัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสองอันดับแรกของโลกจะไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกังวลกัน หากยังคงอัตราภาษีในระดับ 10-30% ต่อไป

ปัญหาแรงกดดันเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ การขาดแคลนสินค้าในสหรัฐอเมริกาจะบรรเทาลงอย่างชัดเจน ห่วงโซ่อุปทานและเครือข่ายการผลิตของบรรษัทข้ามชาติปรับตัวในทิศทางดีขึ้น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม

งานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก และ ธนาคารโลก ล้วนบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องทางการค้ามีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมาก ภายใต้โครงสร้างการผลิตของโลกที่มีลักษณะเป็นห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก 

การขึ้นกำแพงภาษี นอกจากกระทบต่อการเติบโตของการค้า เศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม กระทบต่อผลิตภาพ รวมทั้งกดทับการสร้างมูลค่าของสินค้าและบริการต่างๆ 

การผ่อนคลายลงของสงครามการค้า ย่อมทำให้เกิดผลบวกต่อหลายภาคเศรษฐกิจ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการค้า (Trade Diversion) ที่ไม่ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโลกอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการสูญเสียสวัสดิการสังคมโลกโดยรวม (Social Deadweight Loss)

น่าจะบรรเทาลงจากข้อตกลงการค้าลดภาษีล่าสุด นอกจากนี้น่าจะมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกลดลงโดยเฉพาะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา

ส่งออกและเศรษฐกิจไทยช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีอาจดีกว่าคาดหากไทยสามารถเจรจาให้อัตราภาษีลดลงมาต่ำกว่า 30% หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% ย่อมไม่สามารถแข่งขันจากสินค้าจากจีนได้ 

การทำงานเชิงรุกเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา 36% เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยไม่ให้จีดีพีของไทยขยายตัวต่ำกว่า 2% 

หากไม่สามารถเจรจาลดภาษีได้เลย มีโอกาสเช่นเดียวกันที่อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจติดลบเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และภาคส่งออกจะติดลบเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 

อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่า รัฐบาลไทยจะสามารถเจรจาเพื่อดึงอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 36% ลงมาให้ต่ำกว่า 30% ได้ หากลงมาอยู่ระดับ 10-15% เศรษฐกิจและภาคส่งออกไทยน่าจะยังประคับประคองไปได้ 

แต่ปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่งของไทย คือ เสถียรภาพของรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือทีมเจรจาในระหว่างการเจรจาอาจทำให้เกิดอุปสรรคได้  เสถียรภาพทางการเมือง เป็นปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของไทย

 ส่วนผลกระทบภาษีนำเข้า กระทบทั่วโลก การไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้ ไทย เสียเปรียบในการเจรจา และ ไม่สามารถเริ่มการเจรจากับสหรัฐฯได้ตามกรอบเวลาเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย 

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า เม็ดเงินของกองทุนและนักลงทุนจะถูกโยกเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงินมากขึ้น

กองทุนและนักลงทุนอาจลดการถือเงินสดและทองคำลงบ้าง คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะฟื้นตัวแรง ขณะที่ ราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงแรงแต่ยังไม่ใช่ขาลง ตราบเท่าที่ ความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลดอลลาร์ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯไม่เหมือนเดิม สถานการณ์สงครามการค้ายังไม่แน่นอน และ ยังมีความเสี่ยงจากสงครามในหลายพื้นที่.