'เศรษฐพุฒิ' ผู้ว่าฯธปท. 3 นายกฯ 2 รัฐบาล ฝ่าแรงกดดันทางการเมือง

ย้อนรอย 5 ปีในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจและแรงกดดันการเมือง ผ่านช่วงเวลา 3 นายกรัฐมนตรี 2 รัฐบาล
KEY
POINTS
- นับถอยหลังวาระ 5 ปีในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”
- ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและแรงกดดันการเมือง ผ่านช่วงเวลา 3 นายกรัฐมนตรี 2 รัฐบาล
- บทพิสูจน์ยืนหยัดบทบาทธนาคารกลางรักษาเสถียรภาพการเงินท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งใน และนอกประเทศ
- จับตาการทำงานระหว่างรัฐบาลและแบงก์ชาติช่วงเปลี่ยนผ่าน
เป้าหมายการบริหารเศรษฐกิจที่ต่างกันระหว่างรัฐบาลที่มุ่งการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้น กับธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติที่มุ่งรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทำให้การทำงานของรัฐบาล และแบงก์ชาติของประเทศต่างๆเสมือนมีความขัดแย้งกันให้เห็นอยู่เสมอ
รัฐบาลและแบงก์ชาติของไทยก็เช่นกันไม่ใช่ข้อยกเว้นเพราะมีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันอยู่หลายครั้งสะท้อนให้เห็นผ่านเทอมการทำงานของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 21 และลำดับที่ 24 ของประเทศไทย ที่ดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และจะมีกำหนดครบวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568
ผู้ว่าแบงก์ชาติช่วงเวลา 3 นายกฯ
ตลอดระยะเวลา 5 ปีในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทั้งเศรษฐกิจโลกและไทย ทั้งวิกฤตโควิด-19 สงครามยูเครน–รัสเซียที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง สงครามการค้า ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ ทำให้เขากลายเป็นผู้ว่าฯ ธนาคารกลางที่อยู่ในวาระเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน ภายใต้ 2 รัฐบาล
ช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการฯธปท.เริ่มต้นในสมัยรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยในช่วงนั้น แบงก์ชาติและรัฐบาลทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น แม้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19
ซึ่งรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ รวมวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ ธปท. ออกพระราชกำหนดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) 5 แสนล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs พร้อมทั้งมาตรการดูแลลูกหนี้เพื่อประคองเศรษฐกิจในช่วงวิกฤต
นโยบายการเงินฝ่าวิกฤตโควิด-19
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงนั้นได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจนเหลือ 0.50% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงไว้ในระดับนี้เป็นเวลาราวสองปี กระทั่งเดือนสิงหาคม 2565 กนง. เริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ต่อมา หลังการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลชุดนี้เริ่มมีแรงกดดันทางการเมืองส่งตรงมายังธนาคารกลางอย่างเห็นได้ชัด
เผชิญแรงกดดันเรื่องดอกเบี้ย
ต้นปี 2567 นายเศรษฐาได้เชิญ ดร.เศรษฐพุฒิ เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถือเป็นครั้งเดียวที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเดินทางไปหารือกับนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง
ในช่วงเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคน รวมถึงนายเศรษฐา ได้ออกมาเรียกร้องให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาค่าครองชีพ ลดต้นทุนทางธุรกิจ และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม ดร.เศรษฐพุฒิยืนยันหนักแน่นว่า การลดดอกเบี้ยต้องคำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย พร้อมชี้ว่าเครื่องมือทางการเงินไม่ควรนำมาใช้แก้ปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจหรือการคลัง
ข้อกล่าวหาแบงก์ชาติทำให้เศรษฐกิจไม่โต
ในช่วงต่อมาเมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แรงกดดันจากทางการเมืองที่มีต่อแบงก์ชาติเหมือนจะลดลงบ้าง แต่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้แสดงความเห็นในเวทีวิสัยทัศน์ของสื่อต่างประเทศ โดยกล่าวถึงธปท. ว่ามีความระมัดระวังมากเกินไปในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ซึ่งแม้จะป้องกันวิกฤตซ้ำรอยปี 2540 ได้ แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมเสนอว่า ธนาคารกลางควรมีความเป็นอิสระ แต่ต้องรับฟังภาคธุรกิจและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากขึ้น
ความพยายามแทรกแซงแบงก์ชาติยังสะท้อนผ่านกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถูกเสนอชื่อเป็นประธานกรรมการ ธปท. แต่ท้ายที่สุดชื่อของเขาถูกตีตก เนื่องจากขัดคุณสมบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเห็นว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกฯ เป็นตำแหน่งทางการเมือง และนายกิตติรัตน์เพิ่งพ้นจากตำแหน่งมาไม่ถึงหนึ่งปี
ค้านกู้เงินทำดิจิทัลวอลเล็ต
ประเด็นที่สะท้อนแนวคิดต่างระหว่างรัฐบาลกับธปท. อย่างชัดเจน คือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลต้องการใช้ พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อเดินหน้าโครงการนี้ ขณะที่แบงก์ชาติแสดงจุดยืนคัดค้านชัดเจน
โดยผู้ว่าฯ ธปท. ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ได้ยื่นหนังสือคัดค้าน พร้อมเสนอให้นำเงินดังกล่าวไปใช้เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือการศึกษาแทนการแจกเงิน
ในประเด็นสงครามการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ล่าสุด ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ระบุว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ควรใช้มาตรการการคลังอย่างตรงจุด มากกว่าการกระตุ้นการบริโภค เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่เรื่อง “การเร่งเรือให้วิ่งเร็ว” แต่ควรเน้นให้ “แรงกระแทกเบาลง” เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
ผนึกคลังวางแผนแก้หนี้
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและแบงก์ชาติยังดำเนินต่อไปในหลายมิติ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มีการปรับรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง และการหารือมาตรการรองรับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือกับผู้ว่าฯ ธปท. เกี่ยวกับแนวทางดูแลระบบการเงินและการจัดซอฟต์โลนเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่
ต้องจับตาดูว่าผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือน ต.ค.2568 จะมีแนวคิดที่ไปได้กับนโยบาย และการทำงานของรัฐบาลมากน้อยเพียงใด







